ทวีปที่สาบสูญ : สำหรับคนอื่น โลกอาจมีมุมเป็นสรวงสวรรค์ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ฉันเห็นแผ่นป้ายกระดาษนั้นก่อนอย่างอื่น แม้มันจะดูขาดวิ่นรุ่งริ่ง เปรอะเปื้อนขี้ฝุ่นขี้มือเต็มที ตัวหนังสือสองสามแถวนั้นอีก ราวจะกระโจนเข้ามาจนเต็มตา

รับสมัครลูกจ้างหญิง รายได้ดี มีที่พักให้

ข้างล่างเป็นลูกศรชี้ และมีตัวเขียนกำกับอีกว่า ติดต่อพี่คำ

เหลียวเข้าไปมอง เป็นตรอกเล็กๆ ที่เชื่อมกับทางสายใหญ่ ผู้คนพลุกพล่านจอแจ ไม่รอช้า รีบย่างตีนมุ่งตรงไป ใจนึกภาวนาว่า ขอให้ที่นี่เป็นที่สุดท้าย ขอให้ได้งานทีเถอะ

นับแต่ออกจากโรงงานพี่โฟมา ฉันก็ตระเวนเสาะหาที่ที่จะมีป้าย “รับสมัครคนงาน” แต่ก็เหมือนครั้งก่อนๆ ที่เคยผ่านมา ที่คิดว่าจะได้งานก็กลับไม่ได้ บางแห่งสอบถามถึงวุฒิการศึกษา บางที่ถามว่ามีบัตรประชาชนหรือไม่ บางร้านดูจะหวาดระแวงกับคนจรหมอนหมิ่น จนถึงไม่ทันเอ่ยปากก็โดนโบกมือขับไล่

การตกในสภาพคนพเนจรอย่างแท้จริง ทำให้ฉันยิ่งคิดถึงร่มชายคาที่จากมา

แต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไร ความคิดถึงก็แค่คมหอกคมดาบ ยิ่งคิดถึงมากยิ่งเจ็บปวดมาก

ยิ่งไม่ควรหันหลังกลับบนทางเส้นใด

มีแต่จะต้องมุ่งไปข้างหน้า

ไม่ว่าจะเจออะไร ฉันก็ต้องไป…เท่านั้นเอง

เท้าหยุดลงที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง มีแผงขายของอยู่สองฝั่ง ป้ายกระดาษคล้ายแผ่นเดิมติดอยู่เด่นชัด รับสมัครลูกจ้างหญิง รายได้ดี มีที่พักให้

ไม่ว่าจะเคยเจออะไรมา ฉันก็ไม่มีทางเลือกใดจะดีไปกว่านี้

“…ที่นี่รับคนงานใช่มั้ย” ร้องถามออกไป

ผู้หญิงคนหนึ่ง เดินออกมาจากในซอกร้าน

“แม่น…”

แล้วพลัน เมื่อเห็นหน้ากันชัดก็ร้อง

“อีพี่!”

“อัมพร!”

 

ฉันไม่คาดฝันเลยว่า จะมาพบกับอัมพร…หรือตอนหลังสุดที่ได้พบหน้า มีชื่อเรียกเสียใหม่ว่า “ไหม”

ภาพและเสียงในครั้งสุดท้าย…เสียงครางของคุณนาย และการกระทำของอัมพร…ผุดหวนคืนมา

เหมือนโลกหยุดหมุน ต่างฝ่ายต่างนิ่งตะลึงเบื้อใบ้ จนกระทั่ง แลเห็นฉ่ำชื้นบางอย่างในหน่วยตาเพื่อนร่วมงานเก่า

“เธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“มึงมาทำอะไรแถวนี้”

ต่างพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนอัมพรจะพูดต่อว่า

“อ้อ มึงมาสมัครงานนี่…ใช่มั้ย”

ฉันพยักหน้า

“เห็นที่ป้าย” ชี้มือ

อัมพรทำหน้ารับรู้

“อือ หาคนมาแทนกูนี่แหละ”

“อ้าว แล้วเธอจะไปไหน…”

ในส่วนลึก ฉันรู้สึกเกือบๆ เป็นความดีใจที่ได้เจออัมพร อะไรบางอย่างทำให้เต็มตื้นอยู่อย่างเงียบเชียบ…อัมพรยังเดินได้หายใจอยู่ เหมือนตัวฉัน

เพราะแน่ใจว่า ที่อัมพรข้ามมานั้นก็คงไม่ง่าย…

ไม่ว่าที่ผ่านมา อัมพรจะทำตัวเลวต่อกันยังไง แต่เมื่อตัวฉันเองก็ได้ผ่านพบอะไรๆ อีกมากมาย

…ภาพของนายสูรย์ ภาพของนางปัน…

ฉันพูดไม่ได้อีกแล้วว่าใครดีกว่าใคร

อาจเป็นเรื่องน่าดีใจจริงๆ ก็ได้ ที่ได้พบกัน

“กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้ว” อัมพรวาดแขนเข้ามาโอบไหล่

“ฉันก็นึกแบบนั้นเหมือนกัน”

ฉันไม่ได้กอดตอบอัมพร แต่ก็มีความรู้สึกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเงียบๆ ภายใน

 

“เอ้า กินน้ำเสียก่อน”

อัมพรลากเก้าอี้หัวกลมมาให้ แล้วหายเข้าไปเอาน้ำออกมาให้อีกแก้วหนึ่ง ฉันยกดื่มอย่างกระหาย ก่อนใช้หลังมือเช็ดปาก

“แล้วที่นี่ต้องการคนทำงานอะไร” เอ่ยปากถาม เมื่ออัมพรเข้ามายืนเยื้องหน้า

ในร้านค่อนข้างร้อนอบอ้าว มองไปรอบๆ เห็นสายสร้อยลูกปัดห้อยระย้อยระย้า กับจำพวกอุปกรณ์งานฝีมือหลายอย่าง

“ไปอยู่ร้านขายของ”

“ขายอะไร ที่ร้านนี้นะหรือ”

“ไม่ใช่” อัมพรตอบ “อยู่บนดอยโน่น ขายให้พวกนักท่องเที่ยว”

“อ๋อ” ฉันมีความหวังขึ้นมาทันที “ดอยไหน”

อัมพรเอ่ยปากบอกออกมา ฉันจดจำได้ทันที เคยได้ยินผู้คนพูดกันอยู่ว่าเป็นที่ที่สวยงามมาก ยามหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันขึ้นไปไม่ขาด จุดเด่นคือมีดอกไม้นานาพันธุ์ โดยเฉพาะดอกกุหลาบ งามที่สุด

ฉันมีความหวังมากยิ่งขึ้น

“แล้วรายได้ไม่ดีหรือ เธอจะออกเสียทำไม”

“กูเหนื่อย” อัมพรตอบ “อิดเซอะอิดง่าว”

แต่พลัน ดังคิดได้ว่าฉันกำลังมาสมัครงาน อัมพรรีบแก้คำพูด

“…มันก็ไม่ได้หนักอะไรมากหรอก แต่กูอิดใจน่ะ อีกอย่าง อยู่บนนั้นมันง่อมๆ เหงาๆ กูชอบอยู่กับแสงสีมากกว่า”

“แล้วใครเป็นเจ้าของร้าน”

ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวฉับๆ เข้าร้านมา แว่นดำอันใหญ่เกือบบดบังใบหน้า แต่ผมหยิกสลวยสีทองกับริมฝีปากคู่นั้น…

ฉันลุกพรวด

อีพี่สร้อยสาย!

 

เราสามคนยืนประจันหน้ากันอยู่ อีพี่สร้อยสาย อัมพร และฉัน

นี่มันเป็นเรื่องห่าเหวอะไรกัน ฉันผ่านวันผ่านคืนมา เพื่อจะกลับมาพบกับสองคนนี้…

หนึ่งคือ ผู้ที่เป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู

แต่อีกคน ฉันย่อมเป็นศัตรูของนางแน่นอน

อีพี่สร้อยสายถอดแว่นกันแดดออก

“อีเน!”

อัมพรเหลียวมองหน้าฉัน

“ใครอีเน”

“ก็มันนั่นไง” อีพี่สร้อยสายชี้หน้า “อีเน น้องของอีวอกอีหมาอีโฟ มึงมาทำอะไรที่นี่!”

ฉันถอยหลังก้าวหนึ่ง นึกหวั่นใจอยู่ครามครันว่าทุกสิ่งสิ้นสุดลง…อีกแล้ว

“…พี่สร้อยสาย”

“ใคร” อัมพรเหลียวหน้าอีก

“กูนี่แหละ” อีพี่สร้อยสายตอบ

ช่างเหมือนเรื่องตลกร้าย

“ขอกูตบมันสักทีเทอะ”

อีพี่สร้อยสายปรี่เข้ามา อัมพรลุกพรวดขึ้นขวางกั้น

“เดี๋ยวๆ! พี่จะทำมันทำไม”

“อีวอกนี่แหละกับอีตัวพี่มัน ทำให้กูตกอับตกจน กูเจ็บแทบตายก็เพราะพวกมึง! อีชาติวอกชาติหมา!”

 

ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ยามที่คำพูดพรั่งพรูออกมา อีพี่สร้อยสายด่ารัวเป็นไฟจนหน้าแดงหูแดง หากตลอดเวลาเหล่านั้น อัมพรก็โอบไหล่ฉันเอาไว้แน่น

“พอเถอะพี่คำ เรื่องมันแล้วไปแล้ว”

“มันจะแล้วไปได้ยังไง!” อีพี่สร้อยสายกระชากเสียง “ถ้าไม่มีอีนี่กับอีโฟ กูก็สบายไปแล้วป่านนี้”

“อ๋อ เรื่องนั้นนั่นเอง” อัมพรมองหน้าอีกฝ่าย “อีพี่เองหรือ”

“เออ! มันนั่นแหละ สมคบสุมหัว พากันตลบหลังกู!…แล้วมึงไปรู้จักมักจี่กับมันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เคยอยู่ด้วยกันที่บ้านคุณจ่า…”

แล้วอัมพรก็พูดในสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าจะได้ยิน

“อีพี่มันนิสัยดีนะ พี่เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า…ขนาดฉันทำเลวเท่าไหร่ มันก็ยังไม่ถือสา ฉันน่ะ นับถือน้ำใจมันอยู่”

ฉันถามอัมพรเบาๆ

“เขาเป็นเจ้าของร้านนี่หรือ”

“อือ พี่กู พี่แท้ๆ นี่แหละ” อัมพรตอบ

ชีวิตช่างเต็มไปด้วยสิ่งไม่อาจคาดหมาย คำว่าบังเอิญอาจดูสามัญเกินไป เสียงขาเก้าอี้ครูดกับพื้นเมื่ออีพี่สร้อยสายกระแทกตัวลงไป

สายตายังจ้องฉันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า ควรจะต้องออกไปพ้นที่แห่งนี้เสีย และมองหาป้ายแผ่นอื่นๆ ต่อไป แต่กำลังจะย่างออกจากร้าน ก็ยินเสียงเรียก

“มึงจะไปไหน!”

เหลียวหลัง อีพี่สร้อยสายนั่งไขว่ห้างอย่างไว้ท่า อัมพรหรี่ตาส่งสัญญาณอะไรสักอย่างให้พี่สาว ซึ่งทำให้ฉันระแวงระวังขึ้นมาทันทีเหมือนกัน

“อย่าเพิ่งไปเลย…พี่คำ อีพี่มันมาหางานทำ ให้มันขึ้นไปทำงานแทนฉันก็พอดี”

“คนนิสัยอย่างนี้” อีพี่สร้อยสายเหยียดปาก “จะมีน้ำอดน้ำทนเร้อ ลับหลังก็สับปะหลี้”

ฉันอ้าปากจะโต้ตอบ อัมพรหยิกแขนไว้

“เถอะน่า พี่คำ เรื่องจบไปแล้วก็แล้วกันเถอะ หาคนทำงานยิ่งยากๆ อยู่ เอาอีพี่นี่แหละมาแทนฉัน”

“ไม่แทน!” อีพี่สร้อยสายฟาดเสียง “ถ้าจะให้มันอยู่ มึงก็ต้องอยู่ทำกับมัน”

“ฉันไปหางานที่อื่นก็ได้อัมพร”

“เออๆ! กูให้มึงอยู่ก็ได้” อีพี่สร้อยสายเปล่งเสียงออกมา “อยู่กินกับกูจะให้มึงเดือนละสี่ร้อย”

“พี่…” อัมพรลากเสียง “มันไม่น้อยไปหน่อยหรือ”

“ข้าวสามมื้อ มีที่กินที่นอน อยากได้มากกว่านี้ ไปเซาะหาเอาซิ” อีพี่สร้อยสายตอบน้องสาว

ความมานะเกิดขึ้นในใจ ฉันไม่จำเป็นต้องทนอยู่กับคำแช่งคำด่าของใคร แต่พอจะเดินออก อัมพรก็รั้งแขนไว้อีก

 

“มึงไม่ต้องไปไหนแล้วอีพี่ อยู่กับกูนี่แหละ”

แล้วกระซิบ

“อีพี่คำมันแข็งนอกอ่อนใน ใจแท้บ่มีอะไร เดี๋ยวกูจะตะล่อมมันเอง…ถ้ามึงพร้อมอยู่ อยู่เลยตั้งแต่วันนี้ ข้าวของอยู่ไหน เดี๋ยวกูช่วยไปเอามา”

ฉันไม่มีของอะไรอีก นอกจากเสื้อผ้าที่ยัดรวมมาในถุงพลาสติกหนึ่งใบ ซึ่งก่อนจะเข้าร้านก็วางแอบไว้ข้างเสาไฟฟ้า

“ขึ้นไปข้างบนกับกูก่อน” อัมพรพูดอีกเบาๆ “มึงกับกูก็คนรู้นิสัยกัน ไม่ต้องห่วง กูจะดูแลมึงเอง”

คนอย่างอัมพร ทั้งกะล่อนและเจ้าเล่ห์มารยา อีพี่สร้อยสายก็ไม่น้อยหน้า แต่ตัวฉันเล่า ดีไปกว่าพวกเขาสักเพียงไหน

สำหรับคนอื่น โลกอาจมีมุมเป็นสรวงสวรรค์ หากสำหรับคนที่ต่างพากันเปลี่ยนชื่อเพื่อแสวงหาหนทางไป ต่างพยายามจะมีชีวิตใหม่ และยังตกคลักในหลุมโคลนเกรอะกรัง

บางที…มันอาจเป็นพรหมลิขิตก็ได้ ให้คนเลวๆ โสมมมาอยู่รวมกันเสีย

ฉันมีทางเลือกอะไรอีกมั้ย?

ฉันเดินตามอัมพรขึ้นบันได