ถอดรหัสการช่วงชิงพื้นที่การเมืองจากเรื่อง “ปาบึก”

ชิงคะแนนเสียง พายุปาบึก เรตติ้งพรรคไหน ใครมาวิน

ฉับพลันเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าพายุปาบึกอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ สิ้นฤทธิ์พายุร้าย

ดูเหมือนความช่วยเหลือก็หลั่งไหลเข้าพื้นที่ประสบภัยทันควัน

โดยเฉพาะในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ทั้งหน่วยงานในพื้นที่ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ จิตอาสา ภาคเอกชน

ยังรวมไปถึงภาคการเมืองระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่

เช่นเดียวกับหลายพรรคการเมือง อาทิ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคอนาคตใหม่ สั่งสมาชิกในพื้นที่งดเว้นทำกิจกรรมทางการเมือง เร่งให้กำลังใจพี่น้องประชาชน ลงพื้นที่ประสานหน่วยงาน จนกว่าจะเสร็จสิ้นเรียบร้อย

แม้จะปฏิเสธไม่ได้เรื่องหวังผลคะแนนทางการเมือง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ได้เห็นความมีน้ำใจในฐานะคนไทยด้วยกัน จะไม่ทอดทิ้งกันเมื่อเกิดภัย

นาทีนั้นดูจะไม่มีใครตีตั๋วจองไฟต์ได้เร็วเท่า “คุณหญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่แม้จะติดภารกิจลงพื้นที่นนทบุรีในช่วงบ่ายของวันที่ 6 มกราคม จนต้องบินไปกลับในวันเดียวกัน

แต่ด้วยความต้องการเดินทางของคนจำนวนมาก ทำให้ไม่มีตั๋วขากลับ ก็ยังไม่ทำให้ล้มเลิกภารกิจนี้ได้

เพราะ “คุณหญิงหน่อย” ถึงขั้นลงทุนเช่าเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัวบินลงพื้นที่ลุยพบผู้ประสบภัย เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และอาสาสมัครได้

ภาพการเยี่ยมผู้ประสบภัยที่ศูนย์อนามัย 11 การมอบถุงยังชีพ และการสวมกอดผู้ประสบภัย สร้างความตื้นตันให้กับชาวบ้าน

แม้จะขนถุงยังชีพ สิ่งของไปไม่มากมาย แต่ก็ได้ใจไปเต็มๆ

พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาประสานงานกับหน่วยงานราชการ องค์กร และบุคลากรที่มีความพร้อม ระดมความช่วยเหลือกลับมาให้ประชาชนที่นี่อีกครั้ง เพื่อให้กำลังใจพี่น้องผู้ประสบภัยผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน

โดยการเปิดศูนย์รับบริจาคสิ่งของช่วยบรรเทาทุกข์ให้พี่น้องชาวใต้ใน 10 เขตกรุงเทพมหานคร

รวมถึงที่ทำการพรรค บริเวณถนนเพชรบุรี

งานนี้ต้องขอปรบมือให้กับทีมงานของพรรคเพื่อไทย ที่ทำงานเชิงรุกได้อย่างรวดเร็ว ลงพื้นที่ฉับไว

เพราะมีเจ้าของพื้นที่อย่างอดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าไร่พาสำรวจความเสียหายถึงถิ่น

รวมไปถึงพรรคประชาชาติที่ผู้สมัคร ส.ส.ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กระจายตัวออกเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยในปัตตานี ยะลา

และตั้งศูนย์ช่วยเหลือที่มัสยิดกลางในจังหวัดนครศรีธรรมราช

เบียดแซง สร.1 “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดิมทีต้องการเดินทางลงไปในพื้นที่เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

แต่ติดขัดที่สภาพอากาศยังปิด และจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปรอต้อนรับและอำนวยความสะดวก

ทำให้เลื่อนการเดินทางเป็นวันที่ 7 มกราคม ช้ากว่าไปหนึ่งวัน

หนึ่งวัน ที่มีความหมายอย่างเห็นได้ชัด เพราะความช่วยเหลือที่รอไม่ได้ แม้จะมีการระดมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนลงไปช่วยเหลือแล้วก็ตาม

หนึ่งวัน ที่ในแง่ทางการเมืองแล้ว ดูจะเสียแต้มไปให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างน่าเสียดาย

ก็ไม่รู้ว่า ภาพปีนหลังคาช่วยตอกตะปูของ “บิ๊กตู่” จะเรียกคะแนนเสียงได้มากเท่าใด

แม้เจ้าตัวจะออกมาบอกกับสื่อมวลชนว่า ไม่ได้สร้างภาพ ไม่มีในบท แค่ให้กำลังใจลูกน้องเท่านั้น

“การที่ผมขึ้นหลังคา ไม่ใช่ผมเท่ ผมแอ๊ก ไม่ใช่ ต้องมองว่าที่ผมทำ ทำเพื่ออะไร ผมให้กำลังใจคนที่กำลังตอกอยู่ข้างบน และถามว่าเหนื่อยหรือไม่ ร้อนหรือไม่ อยู่บนนี้ทั้งวัน เขาก็ตอบว่า ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้ ซึ่งผมเห็นว่ามันต้องพูดกับลูกน้องเขาบ้าง ให้กำลังใจ นายกฯ ก็ขึ้นมาได้เหมือนกัน ทุกคนจะได้มีกำลังใจในการทำงาน ลูกน้องเขาไม่ได้มุ่งหวังว่าผมจะต้องไปทำเก่งกว่าเขา ผมพอทำได้ เด็กๆ เคยฝึกเคยเรียนมา สมัยประถม มัธยม เขาก็สอนมา ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย”

“ฉะนั้น อย่าไปมองว่าทุกอย่างสร้างภาพ ไม่ใช่หรอก ทุกอย่างต้องมีการฝึกฝนทั้งสิ้น”

ดูจากการลงพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำถึงความไม่สบายใจจนกว่าจะได้มาเห็นหน้าตาของชาวบ้านและสภาพพื้นที่ด้วยตนเอง การเร่งรัดเจ้าหน้าที่ในการระดมกำลังเข้าช่วยเหลือ

รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อสำรวจความเสียหายใน 16 จังหวัดเบื้องต้น การเปิดระดมทุนรับบริจาคจากทุกภาคส่วน ยอดสูงถึง 132 ล้านบาทกว่า

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ดูจะย้ำเป็นพิเศษ และย้ำหลายรอบตลอดการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย

คือ การมีทหารไว้ทำไม ทหารมีไว้ช่วยเหลือชาวบ้าน ถ้าไม่มีแล้วใครจะช่วย

ทหารคือลูกหลานของพวกเรา ที่ยังคงมี ไม่เพียงพอในการดูแลประชาชน ฉะนั้น การบอกให้เลิกเกณฑ์ทหารควรทำหรือไม่ เพราะเป็นการไม่นึกถึงส่วนรวม นี่คือข้อความที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำและสื่อสารกับคนในพื้นที่ สื่อเป็นนัยยะถึงความสงบสุขในบ้านเมืองเกิดขึ้นเพราะมีทหาร

งานนี้ไม่รู้ว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จะหลั่งไหลไปที่รัฐบาล หรือพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาประกาศอ้าแขนเปิดรับ พล.อ.ประยุทธ์นั่งเป็นแคนดิเดตบัญชีนายกรัฐมนตรีอยู่เสมอมา

แต่ที่รู้แน่ๆ คือ เจ้าของพื้นที่ใต้ อย่าง “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพรรค กลับได้ไฟต์ที่ดีเลย์กว่าที่ควรจะเป็น

แม้ก่อนลงพื้นที่ นายอภิสิทธิ์จะให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับการประสานจากอดีต ส.ส.ในพื้นที่ว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบ จึงเดินทางไปให้กำลังใจ และทราบว่านายกรัฐมนตรีและนักการเมืองก็ลงไปเช่นกัน จึงอยากให้กระจายกันลงไปให้ทั่วถึงในหลายพื้นที่ที่เดือดร้อน อย่าลงไปซ้ำกัน

ในฐานะพรรคที่ยึดครองเสียงภาคใต้มาตลอด แม้จะถูกปาดหน้าด้วยพรรคเพื่อไทยไปอย่างน่าเสียดาย

แถมยังไม่วายโดนแย่งพื้นที่สื่อไปให้กับ พล.อ.ประยุทธ์

แต่การลงพื้นที่ในจุดที่มีผลกระทบเสียหายมากที่สุดก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เลี่ยงไม่ได้ ในฐานะเจ้าถิ่น เมื่อครั้งแรกยังไม่สำเร็จ ก็ต้องมีครั้งที่สองตามมา

โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า ยังมีหลายจุดที่ได้รับความเสียหาย ที่ไม่ใช่แค่พื้นที่ติดชายทะเล

ใช่ว่าจะมีแต่พรรคการเมืองใหญ่ๆ พรรคการเมืองหน้าใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่ก็ร่วมลงพื้นที่เช่นกัน โดยเน้นนำสิ่งของและเครื่องมือทำประมงมาช่วย พร้อมชูนโยบายให้ส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการดูแลตัวเองได้โดยไม่พึ่งส่วนกลาง

ก็ได้แต่หวังว่า ว่าที่ ส.ส.ในพื้นที่จะร่วมมือกันระดมสรรพกำลัง ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือกันอย่างต่อเนื่อง จนผู้ประสบภัยได้รับความช่วยเหลือจนครบถ้วนแล้วจริงๆ

อย่าทิ้งให้คนเหล่านั้นดีใจกับการสวมกอด และคำพูดเพียงไม่กี่คำแล้วจากไป

ไม่เช่นนั้นคงต้องบอกเลยว่า งานนี้แม้พายุปาบึกจะพัดผ่านไปแล้ว คงไม่ได้พัดพาแค่ความเสียหายมาอย่างเดียว

แต่จะพัดพาเอาคะแนนเสียงกลับคืนไปด้วย หากนักการเมืองได้แต่พูดแล้วไม่ทำตามสัญญา

และแน่นอนว่า ศึกการลงพื้นที่แย่งชิงคะแนนนิยม ความได้เปรียบนั้น ยังเพิ่งเป็นแค่ปฐมฤกษ์เท่านั้น

จากนี้คงต้องดูกันอีกยาวว่าพรรคไหนจะเก๋าเกมในพื้นที่คว้าชัยเก้าอี้ ส.ส.ได้มากกว่ากัน