ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 มกราคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
พายุโซนร้อน “ปาบึก” เปิดประเดิมศักราชใหม่ปีหมูด้วยการบุกถล่มพื้นที่ภาคใต้อย่างจัง นับเป็นพายุลูกแรกในรอบ 55 ปี ที่มีเส้นทางผ่านจังหวัดนครศรีธรรมราช
โชคดีที่หลายฝ่ายเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับพายุ “เกย์” ที่บุกโจมตีพื้นที่จังหวัดชุมพร
ในเวลานั้น มีผู้เสียชีวิตจากอิทธิฤทธิ์ของพายุเกย์หลายร้อยคน
บางสื่อบอกว่าอาจถึง 500 คน ส่วนความเสียหายด้านทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท
คราวนี้มีรายงานว่าชาวนครศรีธรรมราชตกเป็นเหยื่อพายุ 2 ราย นอกนั้นเป็นชาวประมงที่ปัตตานีออกเรือตั้งแต่วันสิ้นปี ระหว่างทางเจอพายุ คลื่นสูงซัดจนเรือพลิกคว่ำเสียชีวิตอีก 2 คน
ส่วนความเสียหายด้านทรัพย์สิน บ้านเรือน ถนนหนทาง คาดว่าไม่หนักหน่วงรุนแรงเท่ากับเหตุการณ์พายุ “เกย์”
จะว่าไปแล้ว ต้องขอบคุณผู้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับเทคโนโลยีจนสามารถมองเห็นและจับเส้นทางพายุปาบึกที่ลอยเหนือแผ่นฟ้าได้แม่นยำราวกับตาทิพย์
เทคโนโลยีอันล้ำยุคทำให้การสื่อสารส่งข้อมูลให้กับผู้คนที่อยู่ในเส้นทางพายุผ่านได้อย่างรวดเร็วจนมีการเฝ้าระวัง การอพยพและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อย่างทันท่วงที
แม้พายุปาบึกผ่านไปแล้ว แต่แผนปฏิบัติการเช่นนี้ยังต้องมีให้พร้อมและเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้มากยิ่งๆ ขึ้นเพื่อรับพายุลูกใหม่ๆ และปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศในอนาคตข้างหน้า
ทุกปีบ้านเราต้องเจอกับพายุอย่างแน่นอนเพราะตั้งอยู่ระนาบเส้นศูนย์สูตร มีมหาสมุทรขนาบอยู่ 2 ข้างซึ่งเป็นจุดกำเนิดพายุหมุนเขตร้อน ทั้งพายุไต้ฝุ่น โซนร้อน ดีเปรสชั่นและไซโคลน
เฉลี่ยพายุผ่านเข้าไทยปีละ 3-4 ลูก ส่วนใหญ่เคลื่อนตัวจากมหาสมุทรแปซิฟิก พัดผ่านตอนบนของประเทศทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ทางใต้จะมีพายุเข้าช่วงปลายๆ ปี
พายุที่มาจากฝั่งมหาสมุทรอินเดีย พัดเข้าทางด้านตะวันตก ภาคกลาง และภาคเหนือของประเทศไทย
ภาคใต้มีพายุใหญ่ๆ เข้ามาถล่มตรงๆ ไม่มากนัก อย่าง “ปาบึก” ก็เป็นลูกที่ 4 นับจากพายุโซนร้อนแฮเรียตที่พัดถล่มแหลมตะลุมพุก นครศรีธรรมราช เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2505
ต่อด้วยไต้ฝุ่นเกย์ในปี 2532 และพายุไต้ฝุ่นลินดา พัดใส่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปลายเดือนพฤศจิกายน ปี 2540
พูดถึงการแปรปรวนของสภาวะภูมิอากาศ ขณะนี้มีหลายพื้นที่กำลังเผชิญหน้า อย่างในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา มีทั้งฝน หิมะ และกระแสลมแรงรุมกระหน่ำ
รัฐแอริโซนา เป็นพื้นที่ทะเลทรายและภูผาสูงชันเจอหิมะปกคลุมจนขาวโพลน ในเขตอุทยานแห่งชาติ อุณหภูมิลดวูบ -1 องศาเซลเซียส เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ถือเป็นภาวะไม่ปกติ
รัฐแคลิฟอร์เนีย หลายพื้นที่ฝนตกหนัก ส่วนบนภูเขามีหิมะโปรยมาอย่างต่อเนื่อง
การเดินทางระหว่างเมืองเป็นไปด้วยความโกลาหลเพราะฝนตก หิมะก็โปรย ถนนลื่นมาก โอกาสเสี่ยงสูงเกิดอุบัติเหตุ
เช่นเดียวกับชายหาดทางภาคใต้ของอิตาลี เจอทั้งหิมะและกระแสลมแรง
ข้ามกลับมาทวีปออสเตรเลีย อากาศที่นั่นกลับร้อนอย่างสุดขั้ว บางวันอุณหภูมิพุ่งทำสถิติใหม่
รัฐทางตอนใต้ เช่น วิกตอเรีย ทัสมาเนียและเซาท์ออสเตรเลีย กลายเป็นเตาอบขนาดใหญ่
เมืองเมลเบิร์น อุณหภูมิทะลุขึ้นไปถึง 42 ํc
รัฐวิกตอเรีย อุณหภูมิเดือนมกราคม ปกติอยู่ที่ 40 ํc แต่ปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10-16 ํc
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา อุณหภูมิที่เขตพิลบารา แหล่งผลิตแร่ขนาดใหญ่ทางภาคตะวันตกวัดได้ถึง 49.3 ํc ถือเป็น 1 ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนสุดของออสเตรเลีย
ส่วนสาเหตุอุณหภูมิในเขตพิลบาราพุ่งสูงเนื่องจากดวงอาทิตย์ทำมุมฉาก แสงอาทิตย์พุ่งตรงหัวพอดีเป๊ะ
ใครที่มีแผนเดินทางไปเที่ยวออสเตรเลียช่วงเวลานี้ ระวังรังสีดวงอาทิตย์ที่แผ่แรงเข้มข้น
เมื่ออากาศร้อนจัดๆ โอกาสเกิดไฟป่ามีความเป็นไปได้สูง ทางการออสเตรเลียจึงต้องออกคำเตือนให้ระวังไฟป่าและห้ามจุดไฟเผาหญ้าอย่างเด็ดขาด
ออสเตรเลียเผชิญกับความแปรปรวนของสภาวะภูมิอากาศมานานหลายปี และรวบรวมสถิติไว้ตั้งแต่ปี 2493 เป็นต้นมา
เหตุเกิดในแต่ละครั้งมีความเสียหายอย่างมากมาย เช่น ไฟป่าทำลายทั้งพื้นที่เกษตร บ้านเรือน เกิดคลื่นความร้อนและฝนตกถล่มน้ำท่วมหนัก
รัฐบาลออสเตรเลียสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกร้อนรวบรวมข้อมูล ตรวจวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มาจัดทำเป็นรายงาน ชื่อว่า “State of the Climate” หรือถ้อยแถลงว่าด้วยภูมิอากาศออกเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2556
เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียออกรายงานใหม่ล่าสุดประจำปี 2561
เป็นรายงานบ่งชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศแปรปรวนเกิดขึ้นย่างต่อเนื่อง เพิ่มระดับความรุนแรงในทุกด้าน มีผลกระทบในทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อม
รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น คราวหน้ามาว่ากัน