คู่ชกแห่งปี “ทักษิณ vs บิ๊กป้อม” จากเกาะโต๊ะ ถึงยุติธรรมแบบป้อมๆ กลับบ้านได้ต้องพึ่ง “ปาฏิหาริย์หรืออภินิหาร”?

กลายเป็น “คู่ชก” ขาประจำไปแล้วระหว่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่มีวิวาทะถึงกันมาตลอด 3 ครั้ง

นับตั้งแต่ 19 กันยายน 2560 หลัง “ทักษิณ” ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กรำลึกครบ 12 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และส่งสัญญาณปรองดอง ซึ่ง พล.อ.ประวิตรได้ปฏิเสธและขอให้เคลียร์เรื่องทำผิดกฎหมายให้ได้ก่อน

แน่นอนว่าไป “แทงใจ” อดีตนายกฯ ไม่น้อย ทำให้ออกมาทวีตข้อความ “จี้จุด” พล.อ.ประวิตร กลายเป็นตำนานเรื่อง “เกาะโต๊ะ”

 

ไม่จบแค่นั้น หลัง “บิ๊กยอร์ช” พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีตรอง ผบ.ทหารสูงสุด ไปร่วมทัพพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ได้วิพากษ์วิจารณ์ คสช.อย่างตรงไปตรงมา ทำให้ พล.อ.ประวิตรผิดหวังไม่น้อย ถึงขั้นเปรียบว่าเป็น “จิ้งจกเปลี่ยนสี” ไม่คิดถึง “ข้าวแดงแกงร้อน”

แม้ครั้งนี้ “ทักษิณ” จะไม่ได้โดนกล่าวถึง แต่ก็ออกมาปกป้อง “บิ๊กยอร์ช” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคไทยรักษาชาติ คือสาขาย่อย “พรรคเพื่อไทย” แค่เพียงตัวย่อ ทษช. ก็ถูกสงสัยแล้วว่าคล้ายกับชื่อใคร

ซึ่ง “ทักษิณ” ได้ออกมาทวีตตอบโต้ว่า “ทหารที่อาสาเข้ามาทำงานการเมืองแบบตรงไปตรงมา น่าชื่นชมกว่าทหารที่เข้ามาโดยการยึดอำนาจไหมครับป้อม”

น่าสนใจว่าการเรียกชื่อ พล.อ.ประวิตร ของ “ทักษิณ” ที่ใช้เพียงคำว่า “ป้อม” นี้ก็สะท้อนภาพการ “ต่อรองทางอำนาจ” ได้ไม่น้อย เพราะ พล.อ.ประวิตรมีความเป็นอาวุโสกว่า ด้วยเป็นรุ่นพี่ ตท.6 ส่วน “ทักษิณ” เป็น ตท.10

จึงทำให้ พล.อ.ประวิตรตัดพ้อว่า “เขาไม่นับถือเราเป็นพี่หรอก ส่วนทักษิณเป็นรุ่นน้อง แต่ไม่ได้เป็นน้อง และเป็นรุ่นหลัง” สายสัมพันธ์เตรียมทหารทั้งคู่ต่างเป็นเส้นขนานกันไปแล้ว

 

ล่าสุด “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ออกมาเสนอให้มีการเปิดโต๊ะเจรจาปรองดองระหว่าง “คสช.-ทักษิณ” และไปหาเสียงที่ จ.พิษณุโลก จะพา “ทักษิณ” กลับบ้าน

ซึ่ง พล.อ.ประวิตรก็ระบุชัดไม่เคยห้าม “ทักษิณ” กลับไทย และกลับมาได้เลย เพราะเป็นคนไทย แต่ต้องมารับคดี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมปิดประตูเจรจา ไม่มีต่อรอง เรื่องกระบวนการยุติธรรมนั้น คสช.ก็ช่วยไม่ได้ ซึ่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ก็รับลูกด้วยงานนี้ โดยระบุว่า ต้องยึดมั่นในหลักการของรัฐบาล จะเจรจากับผู้หลบหนีคดีไม่ได้

พร้อมถามกลับว่า ทำไมจะต้องเจรจา เราไปสู้รบกับเขาหรือไม่ เขาไม่ได้สู้รบกับตน ไม่ใช่สงคราม ถ้าคิดว่าไม่มีความผิดก็กลับมาสู้คดี ตามความผิดในกฎหมายปกติ ไม่ใช่ ม.44 ด้วย

ล่าสุด “ยงยุทธ” ได้ออกมาชี้แจง โดยมองว่าต้องเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยกัน เหตุเกิดที่ใดต้องไปแก้ที่นั่น โดยเหตุมาจากรัฐประหารปี 2549 ที่ยึดอำนาจ “ทักษิณ” มา ซึ่ง “ทักษิณ” ก็กลับไทยไม่ได้ เพราะคู่กรณีคุมอำนาจหมดในกระบวนการต่างๆ ดังนั้น ผู้ที่จะกลับมาก็รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม ส่วนคนในประเทศไทยก็มีที่ไม่อยากให้นายทักษิณกลับมา พร้อมบอกว่าให้มาเข้าคุกก่อน จึงทำให้เรื่องต่างๆ ไม่จบสิ้น

“รัฐบาลปฏิเสธ ก็เป็นเรื่องของรัฐบาล เพราะรัฐบาลจะได้หรือเสียประโยชน์หากนายทักษิณกลับมา ซึ่งเป็นวิธีคิดอย่างเป็นตรรกะอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีอยู่แล้ว ที่หากนายทักษิณดี จึงไปยึดอำนาจมา แต่ประเทศชาติเสียประโยชน์”

นายยงยุทธกล่าว

 

ถือเป็นปมในใจ “ทักษิณ” ไม่น้อยในเรื่อง “กระบวนการยุติธรรม” จึงทำให้ทวีตโต้แบบจี้จุด “บิ๊กป้อม” ว่า “ป้อมบอกให้ผมกลับเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ทั้งๆ ที่ป้อมส่งคนของป้อมเข้าไปนั่งทั้งนั้น ผมว่าป้อมทำเรื่องของตัวเองให้เคลียร์ดีกว่ามั้ยครับ เอาเด็กหน้าห้องป้อมออก แล้วปล่อยให้คนอื่นเข้ามาพิจารณาเรื่องนาฬิกายืมเพื่อนแทน เพราะกระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ มันหมดความน่าเชื่อถือไปแล้วครับ”

เป็นการ “ย้อนเกล็ด” พล.อ.ประวิตรได้แสบไม่น้อยด้วยคำว่า “กระบวนการยุติธรรมป้อมๆ” โดยเด็กหน้าห้องที่อ้างถึงก็ไม่ใช่ใคร นั่นคือ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. แม้ได้ถอนตัวจากการพิจารณาเรื่องนาฬิกาหรู เพราะ “บิ๊กกุ้ย” เคยเป็นรองเลขาฯ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (พล.อ.ประวิตร) มาก่อนด้วย ซึ่ง พล.อ.ประวิตรก็ออกมาตอบโต้ “ทักษิณ” กลับ ถึงกับขึ้นคำว่า “ไอ้” และ “มัน” เลยทีเดียว

“เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. เรื่องป้อมๆ ก็ไปถามไอ้ทักษิณมันสิ ไปถามมันเอง” พล.อ.ประวิตรกล่าว

 

แน่นอนว่ากระบวนการพูดคุยทางแจ้งระหว่าง “ทักษิณ-คสช.” อาจต้องสะดุดลง แต่ในทางลับก็ไม่มีใครคอนเฟิร์มได้ว่ามีหรือไม่

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ “ทักษิณ” ยังมีคดีติดตัวอยู่ก็ยากที่จะเจรจาปรองดอง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเรื่อง “ต่อรองทางการเมือง” กระบวนการเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้หากจำกันได้ผ่าน “มหากาพย์ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย” นั่นเอง ที่เป็นเชื้อไฟมาสู่การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั่นเอง

อีกทั้งตลอด 4 ปีที่ผ่านมายุค คสช. ก็มีกระแสข่าวตลอดว่า “คุยแล้ว-เคลียร์แล้ว” อยู่ตลอด ถึงขั้นระบุว่า “ทักษิณ” จะได้กลับไทยแต่ต้องวางมือทางการเมือง แต่ก็ไม่มีอะไรที่คอนเฟิร์มได้ จึงเป็นเพียงกระแสข่าวที่มาแล้วก็จบไป

แต่ดูเหมือนมรสุมจะเข้า “ตระกูลชิน” อยู่ตลอด จากปี 2560 ที่ “ยิ่งลักษณ์” ต้องหลบหนีไปยังต่างประเทศ และเก็บตัวเงียบไป 4 เดือน จะปรากฏตัวอีกครั้ง ท่ามกลางคำครหาว่า คสช.หลิ่วตาให้หนีหรือไม่

ล่าสุดกับกระแสข่าว “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ ท่ามกลางท่าทีของ ป.ป.ช.ที่จะฟันจำนำข้าวล็อต 2 ให้ถึงระดับแกนนำ-ผู้อยู่เบื้องหลัง

รวมทั้ง “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ที่มีคดีฟอกเงินปล่อยกู้สินเชื่อธนาคารกรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานครติดตัว ก็มีข่าวว่าไม่ได้อยู่ไทยแล้ว แต่ยังลงรูปว่าอยู่ไทย

ซึ่งก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นรูปในสต๊อกก่อนหลบหนีไปหรือไม่?

 

สถานการณ์ที่ “ตระกูลชิน” โดนเช็กบิลทีละคนจึงทำให้ยากที่ “ทักษิณ” จะได้กลับมา

พลังแห่งความเกลียดชังนี้ยังคงมีอยู่ หากกลับมาสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร และสิ่งใดจะเป็นสัญญาณหรือสิ่งประกันว่า ถ้า “ทักษิณ” กลับมาแล้วจะไม่มีแรงต้านเกิดขึ้น

แม้แต่ในสมัยที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์-เพื่อไทย” มีอำนาจเฟื่องฟูเป็นเสียงข้างมากในสภา ก็ต้องแพ้ภัยตัวเองกับ “นิรโทษสุดซอย” ถือเป็นบาดแผลใหญ่ของ “เพื่อไทย” แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะหลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไป รวมทั้งบริบททางการเมืองในยุคหลัง คสช. ที่ต้องดูกันยาวๆ

โลกจึงมีคำว่า “ปาฏิหาริย์-อภินิหาร” บัญญัติไว้!!