วงค์ ตาวัน : ของขวัญปีใหม่ ?

วงค์ ตาวัน

กระแสข่าวสารในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ดุเดือดไม่แพ้รายงานตัวเลขเมาแล้วขับชนกันยับตายเป็นเบือ ก็คือกระแสความร้อนระอุของการเมืองการเลือกตั้ง การวิพากษ์วิจารณ์ คสช. การจับจ้องพรรคสนับสนุน คสช. รวมไปถึงกลไกจัดการเลือกตั้ง เต็มไปด้วยข่าวร้อนแรงไม่เว้นวัน

แถมข่าวฮอตๆ ส่งท้ายก่อนวันสิ้นปีก็คือ การลงมติของ ป.ป.ช.ในคดีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีกลาโหม พี่ใหญ่แห่ง คสช.

“เป็นอันปิดฉากคดีอื้อฉาวที่ยาวนานมานับปี ทำให้บิ๊กป้อมโล่งอกโล่งใจเสียที เมื่อหลุดพ้นไปจากข้อหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ”

จึงเป็นช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่สร้างความสุขให้กับ พล.อ.ประวิตรได้มากโข

เหมือนได้รับของขวัญปีใหม่ชิ้นโต

“แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ในทางกฎหมายในทางคดีเป็นอันจบสิ้นแล้ว แต่ในแง่เสียงวิจารณ์ของผู้คนในสังคม ไม่จบตามไปด้วย”

กระแสโจมตีโถมถล่มเข้าใส่ ป.ป.ช. คงทำให้เป็นช่วงเทศกาลสุขสันต์ที่ไม่สุขมากนัก

ยิ่งเป็นช่วงที่พรรคการเมืองกำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง เครื่องกำลังร้อนได้ที่ ทั้งมติ ป.ป.ช. และอำนาจ คสช. จึงเป็นเป้าโหมกระหน่ำอย่างหนัก

“จนกล่าวกันว่า การตัดสินใจลงมติปิดคดีของ ป.ป.ช.ในช่วงเวลานี้ อีกด้านเป็นการช่วยหาเสียงให้กับพรรคการเมืองตรงข้าม คสช. ไปในตัวเช่นกัน”

เท่ากับว่า เป็นปีใหม่ที่มากด้วยความสุขสบายใจของบิ๊กป้อม

แต่ก็เหมือนช่วยมอบของขวัญสำหรับการหาเสียงให้พรรคการเมืองฝ่ายต้าน คสช.ด้วย

ส่วน ป.ป.ช.นั้น ในกล่องของขวัญเต็มไปด้วยก้อนอิฐ!

แนวทางการต่อสู้คดีนี้ของ พล.อ.ประวิตร เป็นไปดังที่กลายเป็นคำฮิตติดปากว่า นาฬิกาเพื่อน แหวนของแม่ โดยให้การในการสอบสวนของ ป.ป.ช.ว่าเป็นนาฬิกาที่เพื่อนสนิท นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ นักธุรกิจระดับมหาเศรษฐี ให้ยืมใส่ในการออกงานต่างๆ และได้คืนกลับไปให้เพื่อนหมดแล้ว

ส่วนแหวนที่ใส่และถูกชาวโซเชียลจับผิด เป็นแหวนมรดกที่ได้จากแม่

ขณะที่คำวินิจฉัยของกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ระบุว่า ได้ตรวจสอบเส้นทางของนาฬิกาหรูและแหวนดังกล่าวแล้ว

ได้พยานหลักฐานตรงตามที่ พล.อ.ประวิตรให้ปากคำในการสอบสวน

“พบว่ามีนาฬิกาหน้าตาและรุ่นเดียวกัน เก็บอยู่ที่บ้านของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ จริง”

ทั้งยังพบนาฬิกาหรูในเซฟของนายปัฐวาทอีกจำนวนมาก นอกเหนือจากที่มีการตรวจสอบกรณีของบิ๊กป้อม

สอดรับกับที่ พล.อ.ประวิตรอ้างอิงว่า นายปัฐวาทหรือเสี่ยครามซึ่งเป็นเศรษฐีที่ชอบซื้อนาฬิกายี่ห้อหรูๆ มาเก็บสะสมเอาไว้จำนวนมาก และความเป็นคนมากน้ำใจ มักให้เพื่อนร่วมรุ่นเซนต์คาเบรียลหยิบยืมไปสวมใส่เมื่อมีงานเลี้ยงงานสังคม แล้วนำมาคืนกันในภายหลัง

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรก็ยืนยันว่า ได้รับการให้ยืมมาใส่จริง หลังเสร็จงานต่างๆ ก็คืนไปให้หมดแล้ว

“เป็นการต่อสู้คดีด้วยการใช้ประเด็นการหยิบยืมระหว่างเพื่อนฝูงมาใช้แก้ข้อกล่าวหาว่า ไม่ได้แจ้งทรัพย์สินมูลค่าสูงเหล่านี้ไว้ในตอนแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยอ้างว่าไม่ใช่สมบัติของตนเอง”

ขณะเดียวกัน ในประเด็นข้อสงสัยว่าจะเป็นเรื่องของกำนัลอันเป็นสินบน อันเข้าข่ายทุจริตรับผลประโยชน์มิชอบหรือไม่

“ประเด็นนี้ในคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ระบุว่า ได้ตรวจสอบแล้วว่า บริษัทคอม-ลิงค์ของนายปัฐวาทนั้นไม่ได้เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด”

ตามพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 3 ว่า ไม่มีมูลเพียงพอว่า พล.อ.ประวิตรจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินนั้น

ทั้งนี้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ที่ถูกจับตามองว่ารับราชการใกล้ชิดกับบิ๊กป้อมนั้น ได้ถอนตัวจากการร่วมพิจารณา เพื่อป้องกันข้อครหา

ทำให้เหลือกรรมการพิจารณา 8 ราย ในจำนวนนี้ 5 เสียงเห็นว่าให้จบคดี

ส่วนอีก 3 เสียง เห็นว่าน่าจะสอบสวนเพิ่มในบางจุดเพื่อให้ชัดเจนเด็ดขาด โดยเฉพาะเส้นทางการใช้เงินซื้อนาฬิกาเหล่านี้ของนายปัฐวาท แต่อีก 5 เสียงเห็นว่า มีโอกาสได้ข้อมูลดังกล่าวยากมาก และจะต้องใช้เวลาอีกยาวนาน หลายเดือนหรือเป็นปี จะยิ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเตะถ่วงคดี

“ทำนองว่าจะโดนวิพากษ์วิจารณ์เมื่อจบคดีไปเลย หรือจะยืดออกไปแล้วโดนด่าไปเรื่อยๆ อีกเป็นปี!”

จึงลงมติ 5 ต่อ 3 ให้จบคดีในที่สุด โดยจะเห็นได้ว่า 3 เสียงนั้น ก็ไม่ใช่ 3 เสียงที่เห็นต่างหรือมีมติแบบตรงกันข้าม

เป็น 8 เสียงของกรรมการ ป.ป.ช.ที่ไม่ได้มีทิศทางขัดแย้งกันแต่อย่างใด

ในมุมมองของนักกฎหมาย ถือว่าแนวทางการชี้แจงคดีนี้ของบิ๊กป้อม เป็นวิธีแก้ข้อกล่าวหาที่ไม่ธรรมดา ขณะที่ ป.ป.ช.เอง เมื่อตรวจสอบตามคำแก้ต่างแล้วก็เดินตามพยานหลักฐานที่อ้างอิงนั้นได้ มีข้อเท็จจริงหลายอย่างมารองรับได้ จนนำมาสู่การยุติคดีได้ในที่สุด

ถือเป็นชัยชนะในทางกฎหมาย ชัยชนะในทางการต่อสู้คดี ทำให้ พล.อ.ประวิตรหลุดรอดคดีไม่แจ้งทรัพย์สินและทุจริตไปได้

“แต่ในทางการเมือง และในทางข้อวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคม คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

สิ่งสำคัญ กรณีนี้เป็นเครื่องตอกย้ำการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานเกินไปของ คสช. ยืนยันให้ทั้งสังคมได้ตระหนักอีกครั้งว่า รัฐบาลในยุครัฐประหารนั้นมีจุดด้อยในเรื่องระบบตรวจสอบอย่างชัดเจน

เมื่ออยู่ยาว ก็มีเรื่องอื้ออึงปรากฏออกมาเรื่อยๆ แต่ทำอะไรได้ยาก

มีแต่การเข้าสู่การเมืองในระบบเลือกตั้งเท่านั้น ที่มีระบบตรวจสอบผู้มีอำนาจได้มากมาย มีสภาเอาไว้อภิปรายซักฟอก เปิดข้อมูลให้ประชาชนทั้งสังคมได้เห็น ได้รับทราบ

“แล้วจะนำไปสู่กระแสกดดัน ถูกกระแสสังคมรังเกียจ และสุดท้ายจะนำไปสู่การพิพากษาของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป”

สำหรับ ป.ป.ช. ต้องตกอยู่ในข้อครหาว่าเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ได้อย่างเป็นอิสระตรงไปตรงมาหรือไม่ แถมเกิดความเคลื่อนไหวเข้าชื่อถอดถอนอีกต่างหาก

มีผู้รู้แนะนำว่า ทางเดียวที่ ป.ป.ช.จะหาทางออกให้กับองค์กรได้ดีที่สุด

นั่นคือต้องเร่งทำคดีที่ถูกจับตาอื่นๆ ให้ออกมาอย่างชัดเจนและไม่มีข้อสงสัยเรื่องการยื้อคดีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง

“คดีที่ ป.ป.ช.ถูกตามจี้มาตลอดก่อนหน้านี้ เช่น คดี 99 ศพ คดี 396 โรงพัก เป็นต้น”

อย่าทำให้ ป.ป.ช.ต้องตกเป็นเป้าโดนถล่มอีก จะยิ่งทำให้สูญสิ้นความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก

ทำตรงไปตรงมาและตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

จะเป็นโอกาสแก้มือและเรียกศรัทธาคืนมา!