ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มกราคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | (S)election เกาะติดเลือกตั้ง62 |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ เผด็จการที่สังคมไทยมีฉันทานุมัติมานานแล้วว่ามีด้านมืดอย่างไร
และถึงแม้ประเทศไทยจะโชคร้ายที่มีทหารใช้อาวุธของประชาชนยึดอำนาจหลายครั้ง เผด็จการที่ทำตัวโหดอย่างสฤษดิ์ก็มีน้อยมาก
และกระทั่งการเขียนกฎหมายให้ตัวเองทำอะไรก็ไม่ผิดอย่างสฤษดิ์ก็แทบไม่เกิดขึ้นเลย
พูดก็พูดเถอะ คณะทหารที่ยึดอำนาจในปี 2534 และ 2549 ไม่มีใครไล่จับหรือยิงเป้าประชาชนอย่างกว้างขวางอย่างสฤษดิ์, การจับกุมประชาชนที่เห็นต่างก็มีไม่มากนัก
ส่วนนายกฯ ที่มาจากการรัฐประหารทั้งทางตรงและทางอ้อมก็ไม่มีใครยกตัวเองให้มีอำนาจเหนือทุกสถาบันแบบสฤษดิ์แม้แต่คนเดียว
ทันทีที่คุณประยุทธ์ปลุกผี ม.44 เลียนแบบสฤษดิ์ที่มี ม.17 คุณประยุทธ์ก็ย่างเท้าเข้าสู่เขตแดนของอำนาจเถื่อนที่ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่เคยทำในรัฐประหาร 2534 และ 2549
นั่นก็คือการเทิดหัวหน้าคณะรัฐประหารให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่มีสถานะเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ, บริหาร และตุลาการ
ไม่มีใครรู้ว่าคุณประยุทธ์ได้ความคิดเรื่องอวยตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์โดย ม.44 เพราะมีสฤษดิ์เป็นแรงบันดาลใจหรือไม่
แต่เท่าที่คุณวาสนา นาน่วม เขียนไว้ ทุกครั้งที่ไปช่องห้าและค่ายทหารซึ่งตั้งชื่อสถานที่ราชการตามเอกชนรายนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะไปไหว้อนุสาวรีย์คนที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมเผด็จการตลอดเวลา
เพื่อไม่ให้คุณประยุทธ์ถูกมองว่านับถือสฤษดิ์เพราะฝักใฝ่เผด็จการ ควรระบุด้วยว่า กองทัพฝังหัวให้ทหารเคารพสฤษดิ์กว่าผู้บัญชาการรายอื่นมาโดยตลอด
สฤษดิ์ที่ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ จนตายคาตำแหน่งในปี 2507 จึงมีอนุสาวรีย์รำลึกอย่างน้อย 3 แห่ง ต่อให้จะถูกยึดเงินที่โกงทรัพย์สินราชการ 604 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้อาจมีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาท หากเทียบกับราคาทองที่พุ่งจากบาทละ 416 เป็น 20,000 ในปัจจุบัน
เหตุผลอย่างเป็นทางการที่กองทัพอ้างเพื่อสดุดีสฤษดิ์คือการเป็นจอมพลผู้นำการพัฒนาถนน, ไฟฟ้า, น้ำประปา และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
แต่ที่จริงคำยกย่องสฤษดิ์มีนัยยกย่องนักรัฐประหารคนอื่นด้วย
คำสดุดีจึงมีเนื้อแท้เพื่อบอกว่าผู้ยึดอำนาจที่ดีต้องจรรโลงอำนาจนานพอจะอ้างได้ว่างานราชการคืองานตัวเอง ตามความเข้าใจในสังคมไทย “พัฒนา” หมายถึงการสร้างถาวรวัตถุ พระสงฆ์ที่เป็น “พระนักพัฒนา” จึงได้แก่พระที่ประสบความสำเร็จในการเรี่ยไร่เงินสร้างวิหารจนเห็นได้ชัด
ส่วนนักธุรกิจที่เป็น “นักพัฒนา” ก็คือคนที่สามารถเอาที่ดินจากเกษตรกรมาสร้างเป็นคอนโดฯ หรือหมู่บ้านจัดสรรแล้วขายเอากำไรแพงๆ
เมื่อมองประเทศตามความเข้าใจนี้สืบไป ผู้นำที่อยากได้ชื่อว่าเป็น “นักพัฒนา” ย่อมเข้าใจว่าความสำเร็จของผู้นำวัดได้จากการสร้างเขื่อน, รถไฟฟ้า, ทางด่วน, รถไฟความเร็วสูง, ทางจักรยานเลียบแม่น้ำ ฯลฯ ต่อให้ถาวรวัตถุที่สร้างจะเป็นประโยชน์ต่อคนบางกลุ่มโดยสาธารณะไม่ได้ประโยชน์ตรงๆ เลยก็ตาม
จากความเข้าใจเรื่องการพัฒนาที่ผิดๆ ซึ่งเอางานช่างเป็นเป้าหมายแบบนี้ พลเอกหรือลูกสมุนของพลเอกก็พบรากฐานของการอธิบายเป็นตุเป็นตะต่อไปว่าการใช้รถถังตั้งรัฐบาลนั้นไม่ได้ผิดไปหมด
รัฐประหารดีๆ ก็มีได้ และนายกฯ ที่ได้อำนาจด้วยกระบอกปืนก็ไม่ได้เลวร้าย หากสร้างโน่นสร้างนี่ให้สำเร็จได้จริงๆ
ด้วยเหตุดังนี้ ทันทีที่ทหารตั้งคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ หลังรัฐประหารปี 2534 ผลงานที่รัฐบาลชุดนั้นมุ่งทำจึงได้แก่การสร้างทางด่วนและโทรศัพท์บ้าน 3 ล้านเลขหมาย
ขณะที่คุณประยุทธ์หลังรัฐประหารปี 2557 ก็หมกมุ่นที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูง, โครงการบริหารจัดการน้ำ และทางจักรยานเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา
ในโลกที่นักรัฐประหารบอกประชาชน การเอาภาษีไปให้ผู้รับเหมาคือมาตรวัดความเป็นผู้นำประเทศ ต่อให้ความจริง “การพัฒนา” จะมีความหมายมากกว่าการสร้างถาวรวัตถุ และที่จริง “ผลงาน” บนวิสัยทัศน์ที่เรียวแคบกลับทำได้แค่โครงการโฮปเวลล์ที่มีแค่ตอม่อ หรือรถไฟไทยจีนที่แค่ 3.5 ก.ม. ก็ไม่เสร็จเลย
รัฐประหาร 2549 ถูกพวกฮาร์ดคอร์บ้าอำนาจโจมตีว่า “เสียของ” แต่ข้อเท็จจริงคือรัฐบาลรัฐประหารแทบทุกชุดล้วนทำให้ประเทศ “เสียของ” แทบทั้งหมด เพราะมักเอางบประมาณประเทศไปทำโครงการที่เจ้าสัวเรียกร้องโดยได้รับคอมมิสชั่นจากผู้รับเหมา
ส่วนโครงการจะไม่เสร็จหรือคนไทยไม่ได้อะไรก็ช่างหัวมัน
นักรัฐศาสตร์อย่างอาจารย์ทักษ์ เฉลิมเตียรณ เรียกนายกฯ สไตล์สฤษดิ์ว่า “พ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ” แต่สิ่งที่ควรขยายความต่อคือวิธีใช้อำนาจแบบนี้มีแก่นอยู่ที่คณะรัฐประหารเป็นผู้กำหนดว่าจะทำอะไร และจะให้อะไรกับคนกลุ่มไหน ส่วนประชาชนอยู่เฉยๆ ห้ามบ่น และไม่มีสิทธิพูดว่า “เฮงซวย” แบบที่นายกฯ พูดใส่ประชาชน
ในบริบทแบบนี้ เคล็ดวิชาในการจรรโลงอำนาจเผด็จการคือการทำให้ประชาชนเชื่อว่านายกฯ จากกระบอกปืนคือ “พ่อขุน” ที่ทรงธรรมจนแค่มีคนเขย่ากระดิ่งก็จะมาปัดเป่าทุกข์ให้ในที่สุด การคุมสื่อและปิดกั้นการแสดงความเห็นจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการ “สร้างภาพ” ให้ “เผด็จการ” เป็น “พ่อขุน” ตลอดเวลา
เมื่อใดที่สื่อทำงานได้มากขึ้นจนประชาชนแสดงความเห็นได้กว้างขวาง “พ่อขุน” ก็จะถูกลอกคราบว่าเนื้อในคือนายพลชอบนาฬิกาหรู, อยู่บ้านหลวง, กินคาเวียร์, เอื้อเจ้าสัว, รับเงินเดือนสามแสนจากหยาดเหงื่อประชาชน, กินอยู่แบบเสี่ยแก่ๆ ฯลฯ จนไม่เหลือเหตุให้ประชาชนยอมรับระบอบที่ถูกปิดปากอีกต่อไป
หนึ่งในเหตุผลที่ทหารซึ่งตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ชื่นชมสฤษดิ์เพราะสฤษดิ์เป็นนายกฯ เผด็จการที่สร้างภาพ “พ่อขุน” จนอยู่ในตำแหน่งนานโดยไม่ถูกประชาชนขับไล่ ส่วนจอมพลถนอม กิตติขจร หรือ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ล้มเหลวในการสร้างภาพลักษณ์นี้จนถูกต่อต้านและตราหน้าว่าเป็น “เผด็จการ” หรือ “ทรราช” จนปัจจุบัน
วันใดที่คณะรัฐประหารไม่สามารถลบล้างภาพผู้ปกครองที่ใช้กระบอกปืนจ่อปลายกระเดือกประชาชน
วันนั้นการต่อต้านและการเรียกร้องส่วนร่วมในการปกครองก็จะกังวานขึ้น
ประตูบานแรกที่จะนำประเทศสู่สังคมเปิดคือการจุดไฟในความมืดให้ประชาชนเห็นว่าไม่มี “พ่อขุน” ในระบอบเผด็จการสักคนเดียว
ความชอบธรรมของ “พ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ” อยู่ที่การสร้างภาพว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นด้านความฉลาด, ปลอดผลประโยชน์, รักชาติ ฯลฯ จนสมควรที่สังคมจะจำนนกับสภาพไร้ปากเสียงใต้อำนาจรัฐจากอาวุธ เทียนดวงน้อยแห่งการไล่รื้อ “พ่อขุน” จึงได้แก่การไล่รื้อคุณสมบัติส่วนบุคคลของบางคนตรงๆ
แม้รัฐบาลทหารจะโจมตี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ว่าเขียนจดหมายต้านการสืบทอดอำนาจเพราะแค้นที่ถูกไล่ออกจากรองนายกฯ แล้วแทนที่ด้วยคนซึ่งเหม็นขี้หน้าอย่างคุณสมคิด แต่นอกจากดราม่าส่วนบุคคลหรือความใคร่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังคุณปรีดิยาธร จดหมายฉบับนี้คือ Magna Carta ที่จะปิดฉากพ่อขุนอย่างสมบูรณ์
ขณะที่คุณประยุทธ์ยุ่งกับรัฐประหารครั้งแรกในยุค คสช. ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกลับสัมพันธ์กับคณะรัฐประหารทุกชุดในสามสิบปีจนขยับจากรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ในรัฐประหาร 2534 เป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐประหาร 2549 และรองนายกฯ ในรัฐประหาร 2557 จนเข้าใจการเมืองแบบรัฐประหารกว่าคุณประยุทธ์ราวฟ้ากับดิน
ในเอกสารยาวหกหน้ากระดาษซึ่งรัฐบาลเบี่ยงประเด็นว่าเกิดเพราะพยาบาท
สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรทำคือการโจมตีคุณประยุทธ์ในเรื่องคุณสมบัติส่วนบุคคลว่าเขลา ไร้มารยาท ไม่ฟังคนอื่น ฟังแต่โซเชียล เอาใจนักธุรกิจ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่รู้กาลเทศะ ฯลฯ จนไม่เหลือความเป็น “พ่อขุน” ให้น่านับถืออีกเลย
น่าสังเกตว่าคุณปรีดิยาธรไม่ได้วิจารณ์คุณประยุทธ์เรื่องรัฐประหารหรือปกครองแบบเผด็จการ คำวิจารณ์จึงสะท้อนความไม่พอใจของคนกลุ่มที่ไม่สนใจประชาธิปไตยต่อคุณประยุทธ์
หรือกล่าวอีกนัยคือ จดหมายเป็นใบเสร็จว่าผู้รังเกียจประชาธิปไตยและหนุนรัฐประหารไม่ยอมรับระบอบ คสช.อีกต่อไป
รัฐประหาร 2557 ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้รักประชาธิปไตยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมานานแล้ว ความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจทำให้คนที่ไม่สนใจประชาธิปไตยพลอยไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น และจดหมายหม่อมอุ๋ยคือญัตติไม่วางไว้ใจคุณประยุทธ์จากฝ่ายที่รังเกียจประชาธิปไตยด้วยกัน
กระบวนการทางการเมืองอย่างไม่เป็นทางการเพื่อถอดถอนนายกฯ ได้เริ่มขึ้นแล้ว การเลือกตั้ง 2562 เป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในเวลานี้ และทันทีที่หีบเลือกตั้งปิดลง ประเทศไทยจะเข้าสู่ความขัดแย้งใหม่ที่ไม่เหมือนแบบหลังปี 2549-2557
จนไม่มีใครรู้ว่าจะจบอย่างไร