การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ หวัง ฝัน ท่ามการต้องดำเนิน

ฉันได้รับจดหมายอีกหลายฉบับ! เป็นซองสีขาวที่ส่งมากับบุรุษไปรษณีย์หนุ่มคนเดิม เมื่อเปิดอ่านก็จะเห็นลายมือคุ้นตา

เพียงบัวมีลายมือสวยนัก และยังขยันเล่าโน่นเล่านี่ ทั้งเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นต้นว่า บางฉบับก็เขียนเนื้อเพลงแสนไพเราะมา บางครั้งก็คัดลอกบทกวีมาให้อ่าน นอกจากนั้น ยังเขียนถึงความคิดทัศนะต่างๆ

ที่ช่างบังเอิญนัก เรามีบางความคิดที่คล้ายกัน

 

[คนเดินทาง,

ถ้าเป็นไปได้นะคะ ฉันก็อยากเขียนจดหมายถึงเธอทุกวัน รู้สึกว่าในใจนี้มีอะไรอยากคุยด้วยเยอะเลย อยากคุยนั่นคุยนี่ให้เธอฟังจัง ก็หยั่งนี้ พอมาเจอคนที่รับเรื่องเดียวกันได้ ก็อยากคุยอยากพูดให้สมกับที่เก็บไว้ในใจคนเดียว

เมื่อ 3 พ.ค. ที่วิทยาลัยครูเทพสตรี เขาจัดงาน 10 ปีนักเขียนซีไรต์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กับชาติ กอบจิตติ มาค่ะ ฉันก็ตั้งใจอย่างหนักหนาเลยว่าจะไปให้ได้

ก็ไปค่ะ ในสภาพเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ ถูกต้อนรับด้วยสายตานักศึกษา…นักเรียนที่นั่น (สาธิตวิทยาลัยครูเทพสตรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เริ่ดมากค่ะ…เปรียบกับกรุงเทพฯ ก็คงเป็นเตรียมอุดม)

ก็เดินไปถามเขาว่างานจัดที่ไหน…เขามองเราแบบหมิ่น ก่อนจะชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้…ไปก็ไม่เจอหรอกค่ะ ก็เลยกลับออกมา ในใจก็คิดปลดปลงจงเจริญ เออวะ…ขนาดคนอยู่ในนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย…ฉันเป็นคนภายนอกหากไม่รู้บ้างก็คงไม่ตายอะไร…

ดีใจมากค่ะ ที่เขาจัดงานอย่างนี้ แต่เสียใจมากตรงที่…เขาไม่น่าเป็นเช่นนั้นเลย ถ้าปัญญาชนของประเทศไทยเป็นอย่างนี้หมด…เฮ้อ เลิกพูดดีกว่า

พูดเรื่องทำสวนดีกว่าค่ะ…]

 

อดยิ้มไม่ได้ เมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทางของเพียงบัว ดูเหมือนจะโกรธและคับแค้นใจอยู่มาก จะทำสีหน้าอย่างไรนะ ในตอนนั้น การเดินดุ่มๆ เข้าไปในรั้ววิทยาลัย ทั้งที่ตัวเองก็เด็กกะโปโลคนหนึ่ง

แล้วตัวฉันล่ะ…ก็เพราะเป็นตัวฉันแบบนี้เหมือนกันไง จึงเข้าใจทุกอย่างที่เพียงบัวเล่ามา หรืออาจจะเข้าใจมันมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เหมือนที่ฉันเองก็เล่าไปให้เธอฟัง

 

[เพียงบัว, สวัสดีตอนดึก

เราอ่านจดหมายของเธอแล้ว อดคิดภาพตามไม่ได้ แต่เราก็อยากจะบอกเหมือนกันว่า เราไม่แปลกใจเลย เธอต่างหากอาจจะประหลาดใจยิ่งกว่าด้วยซ้ำ หากรู้ว่าเราน่ะผ่านอะไรมาบ้าง ยิ่งกว่าสิ่งที่เธอพบเจอเสียอีก

เราเคยทำงานแบบชนชั้นล่างมากๆ (ตามคำศัพท์ของเธอ) ถ้าคำว่าชั้นล่าง มันหมายถึงกรรมกร คนใช้แรงงาน คนที่ต้องเป็นงัวเป็นควายอยู่ในบ้านของผู้ลากมากดี และถูกดุด่าว่ากล่าวสารพัด

เชื่อไหมว่า บางครั้งเรายังต้องลุกมาถามตัวเองว่า “ฉันเป็นคนเหมือนพวกเขาหรือเปล่า”

เราบอกเธอหรือยัง ว่าเราเคยทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้าน และที่บ้านหลายหลัง พวกเขาไม่ให้เรานั่งแม้แต่เก้าอี้โซฟาที่พวกเขานั่ง เราจะทำได้คือปัดกวาดเช็ดถูมัน อาจจะแอบลองหย่อนก้นนั่งบ้างเวลาไม่มีใครเห็น แต่มันก็ไม่เป็นสุขนักหรอก

เมื่ออยู่ในสถานะของคนรับใช้ เราจะต้องยืนคอยท่าอย่างหมาที่ซื่อสัตย์ ต้องว่าง่าย ต้องทำได้ทุกอย่างที่นายจ้างต้องการ เราเพิ่งมารู้จริงๆ ว่า คนเราจะไม่มีวันเท่ากันเลย เพราะพวกเขาจะไม่ยอมให้เราเท่าได้

แม้แต่ในบ้านของคนที่ทำงานในศาล ซึ่งเกี่ยวกับความยุติธรรม เรากลับพบแต่ความไม่ยุติธรรม เราจะต้องนอนโดยไม่สามารถลงกลอนประตูได้ เพื่อให้นายจ้างเข้าหาได้ในทุกเวลา เราจะต้องกินข้าวบนพื้นในครัว ใช้ห้องน้ำด้านหลัง แยกแก้วน้ำจานชาม มันบอกไม่ถูกนะเพียงบัว ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจ เราก็เข้าใจมันทั้งหมด โดยที่ลึกๆ ก็มีคำถามอยู่ดีว่าเข้าใจอะไร

แล้วทำไมต้องเข้าใจด้วย

แล้วเราเองก็เคยเจอเรื่องคล้ายๆ กันนี้ ตอนที่คิดว่าตัวเองสวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดแล้ว เราไปซื้อของที่ตลาดใหญ่ แต่พอไปชะเง้อยืนมองอะไร คนเขาก็มองอย่างระแวงระวัง พอจะเอ่ยปากถามราคา ก็โดนไล่อยู่กลายๆ…เขาไม่ไล่ตรงๆ แต่มันก็ดูออก

บางที…การอยู่ที่บ้านนอกแบบนี้ก็ดีอยู่เหมือนกัน ถึงจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฝัน แต่คนที่นี่ก็ยังมีชีวิตใกล้เคียงกัน ไม่มีใครเป็นเจ้านายใคร แต่ก็นั่นแหละ เมื่อไหร่ที่พวกข้าราชการเข้ามา ทุกคนในหมู่บ้านก็จะกลับเป็นพลเมืองชั้นสองอีกอยู่ดี…]

 

ฉันจำไม่ได้แล้วว่า ไปได้ยินคำว่า “พลเมืองชั้นสอง” จากที่ไหน คงจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่เพียงบัวส่งมาให้อ่าน แต่มันเป็นคำสั่นสะเทือนในอกเหลือเกิน

ยังจำได้ไม่ลืม ตอนที่พ่อพาไปส่งตัวกับคุณจ่าศาลที่อำเภอ ได้ไปเจอคำพูดท่าทีของเจ้าหน้าที่บนนั้น คนสวมชุดสีกากีช่างดูมียศศักดิ์ วางอำนาจกันเหลือล้น

ยังเคยนึกถึง…คนเฒ่าที่ได้พบเจอกัน ชายชราที่มาตามหาลูกสาว

“ขอสูมาเถอะครับ ผมอยากปะนายอำเภอสักหน”

“ลุงจะพบท่านทำไม?”

“ผมจะมาร้องนายอำเภอ ให้ช่วยตามหาลูกครับ”

“อ้าว แล้วลูกลุงไปไหน”

“ไปทำงานในเชียงใหม่ครับ”

“ทำที่ไหนล่ะ เขาไม่กลับบ้านเลยหรือยังไง”

“ไม่กลับครับ…ผมไปตามถามมาก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น บ้านที่ว่ามันไปทำงาน ผมฝากคนไปถาม เขาก็ว่ามันออกไปแล้ว”

“เขาไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า ผู้หญิงผู้ชาย มีแฟนหรือยัง ไปอยู่กับแฟนเสียละกระมัง”

“ไม่ใช่ครับ มันเป็นลูกหล้า แม่ญิงครับ พี่น้องคนอื่นก็มาตายหมด เหลือมันคนเดียว เขามาชวนให้ไปทำงานจะได้ส่งเงินมาเลี้ยงพ่อแม่ แต่นี่หายแซบหายสอยไม่มีข่าวคราว มาหนสุดท้ายปีใหม่ปีโน้น…

“ผมกลัวแต่มันจะไปตาย แต่ถ้าไม่ตายก็อยากให้มาดูใจคนเฒ่า แม่มันกำลังเจ็บอยู่ ไม่รู้จะรอดถึงปีใหม่หรือเปล่า…

“…ไหว้สาเถอะครับ ขอให้ผมได้พูดกับนายอำเภอ อยากให้เขาช่วยสั่งคนเสาะหา”

“ไม่ได้หรอกลุง อย่างนี้ลุงต้องไปแจ้งความที่โรงพัก เป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่ธุระนายอำเภอ!”

“ผมแจ้งจนไม่รู้จะแจ้งยังไงแล้วครับ ตั้งหกเจ็ดปีมาแล้ว วี่แววเท่าหีแมงกำบี้ก็ไม่มี”

“มีอะไรหรือครับคุณจ่า”

มีคนเข้ามาอีกคนหนึ่ง จ่าศาลหันไปบอกเรื่องราว ชายที่มาภายหลังส่ายหน้าอีกคน

“อย่าเสียเวลาเลยครับ บอกไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก” แล้วชายนั้นก็หันไปหาชายแก่

“ลุง! นายอำเภอเขาไม่ว่างมารับฟังเรื่องขี้หมูขี้หมาอย่างนี้หรอก!”

“ไม่ใช่เรื่องขี้หมูขี้หมา เรื่องลูกสาวผม เรื่องคนแท้ๆ”

ชายนั้นยังโบกมือใส่ ร่างเล็กทะมัดทะแมงในชุดสีกากียืนเคียงคู่จ่าศาล ข่มชายชราให้ตัวลีบลงอีก

“ประเทศนี้คนหายเป็นหมื่น ใครจะว่างตามหาลูกลุงอยู่คนเดียว กลับบ้านไปเถอะ ถ้าตำรวจเขาว่าไม่เจอก็ไม่เจอ มาเที่ยววุ่นวายบนอำเภออย่างนี้ ระวังจะโดนจับขังคอกเสียเอง!”

ชายชรายกมือไหว้อีกปลกๆ หน้าเซียวปากสั่น คงเพราะชายนั้นพูดจาขึงขังทุกคำ ฉันไม่รู้จักใครในที่นั้นมาก่อน แต่คำพูดที่มีอำนาจนั้นทะลวงเข้าไปสั่นคลอนถึงก้นซอกใจ

 

ยังจำภาพเมื่อร่างงอหง่อมยอมจากไปแต่โดยดี แม้ยังพยายามเหลียวหา แต่ตาที่สอดส่องก็สะดุ้งเบือนหลบเมื่อพบสายตาแข็งกร้าวกว่า

ตัวจ่าศาลยืนนิ่งเฉย ไม่ได้พูดอะไร จนร่างผอมแกร็นลับหายไปจากสายตา

“สงสารแกเหมือนกันนะ ชัยยศ”

“อย่างนี้ประจำละครับ มีมาทุกวัน เรื่องเดือดร้อนนั้นนี้ ชาวบ้านเขาแยกไม่ออกหรอกครับ หน้าที่รับผิดชอบส่วนไหนของใคร เอะอะก็จะร้องแต่นายอำเภอ ถ้าไม่ขู่เสียบ้างเดี๋ยวก็กลับมาอีก นี่ยังดีนะครับ คนเมืองพูดกันรู้เรื่อง ถ้าเป็นพวกแมงอีก้อ แมงยางกะเลอ โอ้ย! เสียเวลาเป็นค่อนวัน!”

อาจจะเป็นวันเช่นนั้น ที่มันเคยเป็นจุดเริ่มต้นของการ “จะไปตามฝัน” ที่แล้วก็ทำให้ฉันพบว่า ชีวิตจริงห่าเหวนั้น มันก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างเคย

จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่มีคนคนหนึ่งในโลกกว้าง ผ่านมาพูดจากับฉัน

และเราคุยกันถึงเรื่อง “คน” ที่ไม่เคยเท่ากัน

[เพียงบัว,

เราดีใจที่เธอสนใจเรื่องการทำสวน แต่เธอคงไม่เคยทำไร่ทำสวนหรอกใช่ไหมล่ะ มันไม่ง่ายหรอกนะ เพราะทุกๆ อย่างจะต้องใช้การลงแรงมากมาย ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราต้องมีเงินด้วยแหละ

เราก็มีความฝันนะ ถ้าเราพอมีเงินมีทอง เราจะปลูกกระท่อมของตัวเองสักหลัง มันต้องเป็นกระท่อมแหละ จะหวังถึงบ้านไม้เป็นหลังๆ คงเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็พอใจนะ ขอแค่ว่ามันเป็นบ้านของเรา…]

 

ฉันเคยเขียนถึงเรื่องบ้านมากี่ครั้ง เคยตั้งความหวังมากี่หน มีกี่คนที่เคยเล่าให้ฟัง…อันที่จริง ก็มีเพียงชื่นใจ แพรวพลอย และนางฟ้าระริน เด็กสาวที่เคยเก็บฉันขึ้นมาเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ข้างถนน…เพียงสามคนที่ผ่านมา ที่พอจะรู้ว่าฉันอยากจะมีบ้านแค่ไหน

บ้าน…ไม่ได้สำคัญในสิ่งวัสดุก่อสร้างใดๆ เลย ไม่ต้องใหญ่โตหรูหรา ฉันจะขอแค่มีฝากั้นแดดกั้นลม มีหลังคาที่ฝนไม่รั่ว มีห้องให้ได้ล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจ ขอแค่ให้ตัวฉันเองได้มีอิสระในที่ของฉัน

ถ้ามีบ้าน…ฉันจะเก็บดอกไม้มาใส่แจกัน ฉันจะปลูกต้นไม้ไว้มากๆ รายรอบ ฉันจะลองทำกระดิ่งลมเองเพื่อแขวนไว้ที่หน้าต่าง

ถ้าหากฉันมีบ้าน…

 

[เพียงบัว,

ถ้าหากเรามีบ้าน เราก็จะรีบชวนเธอมา…สนใจอยากจะมาเที่ยวบ้านเราไหม ถึงมันจะไม่ได้มีของดีราคาแพงอะไร แต่ก็จะรับรองเธอให้ดีที่สุดเลย

เราจะหาสะลีดีๆ ให้เธอนอนนะ จะหามุ้งใหม่ๆ ให้ด้วย ถึงตอนนั้น เราก็น่าจะพอมีเงินเพิ่มได้บ้าง เราตั้งใจว่า ถ้าเราปลูกบ้านสำเร็จแล้วเราก็จะทำสวน…เออ เรามีความคิดอย่างหนึ่งละ เราคิดว่า ถ้าเราลงทุนปลูกถั่วเหลือง น่าจะได้เงินก้อนมาในแต่ละปี แม่พูดว่า ถ้าเลี้ยงหมูด้วยอีกสักสองสามตัว ในปีหนึ่งๆ ก็จะได้เงินเป็นกอบเป็นกำอยู่ อย่างน้อยก็มีโอกาสได้จับเงินพัน

แต่ก็นั่นละ ทุกวันนี้เราทำงานได้ค่าแรงแค่วันละ 17 บาทก็จริง แต่เงินจะออกเป็นวีก ได้อยู่ครั้งละ 119 บาท ตกเดือนละ 510 บาท ได้มาก็ต้องเอาให้แม่ ช่วยค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเก็บให้ได้สักเดือนละห้าสิบบาทก็ยากเหลือเกิน

การจะทำสวนก็ต้องใช้เงิน อย่างแรกเลยเราไม่มีที่นา ถ้าต้องไปเช่าเขาเราก็ไม่มีเงินหรอก นอกจากจะทำแล้วแบ่งค่าขายถั่วให้เจ้าของนา แต่ก็ยังมีความหวังนะ เห็นว่าบางคนทำเงินได้ถึงสามสี่พันบาทต่อปี อย่างน้อยๆ ถ้าเราได้สักปีละสองพันบาท ก็จะเป็นทุนต่อไปในอนาคตได้

เธอเอาใจช่วยเราด้วยนะเพียงบัว ขอให้เราสามารถเก็บเงินที่จะเป็นทุนก้อนแรกได้สำเร็จ เรามีความหวังกับความฝันที่คิดตอนนี้มากๆ เพราะมันจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้เรามีอิสระ

ถ้าเรามีบ้านของตัวเอง มีเงินทองของตัวเอง อย่างแรกที่เราจะมีได้ในทันทีนั้นก็คืออิสระ เธอเข้าใจใช่ไหม…เพียงบัวคนดี ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องเข้าใจในคำว่า “อิสระ” นี้…]

ฉันพับจดหมายลงซองอย่างทะนุถนอม ไม่ลืมจะแนบดอกหญ้าแห้งที่เก็บมาทับไว้ในหนังสือ ใส่ลงตามไปด้วย มันช่างเป็นทั้งความสุขและความเศร้า กับการได้เขียนถึงความฝันของตัวเอง แม้ตระหนักอยู่ลึกๆ ว่า…มันอาจจะไม่มีวันนั้นก็ได้ แต่ช่างเถอะ ฉันจะลองตั้งใจ เมื่ออยากตายแต่ก็ยังไม่เคยได้ตาย จะทำอะไรได้มากไปกว่า หวัง ฝัน ท่ามการต้องดำเนิน…ชีวิต