ขอบคุณข้อมูลจาก | เศษเนื้อข้างเขียง |
---|---|
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2559 |
เผยแพร่ |
ใน “ความรักของวัลยา” มีวัลยาเป็นตัวเอก เป็นตัวเด่น ขณะเดียวกัน ก็มี ยง อยู่บางยาง มาเป็นส่วนประกอบอย่างมีนัยสำคัญ
บทบาทของ ยง อยู่บางยาง เหมือนกับเป็น “ตัวประกอบ”
แต่ถ้าพิจารณาอย่างจำแนก แยกแยะ ความเป็น “ตัวประกอบ” นี้ไม่เพียงแต่ทำให้วัลยามีความโดดเด่น หากแต่ยังทำให้ปัญหาหลายปัญหาซึ่งมีการถกเถียงอย่างหน้าดำคร่ำเครียดในหมู่ปัญญาชนเพิ่มความกระจ่างมากยิ่งขึ้น
หากมองอย่างสัมผัสได้ในแนวโน้มที่เสนอเข้ามาอย่างใหม่ ไม่เพียงแต่วัลยาหรอกที่เป็นความใหม่ หาก ยง อยู่บางยาง ยิ่งเป็นความใหม่
เหมือนกับปรากฏขึ้นอย่างไร้ร่องรอย แต่ก็สามารถอธิบายได้
ยง อยู่บางยาง นั้นเองประสานระหว่าง “ปัญญาชน” ให้เชื่อมเข้ากับชนชั้นกรรมาชีพ ผู้ใช้แรงงาน
ทั้งมิได้เป็นผู้ใช้แรงงานเฉพาะถิ่น หากแต่เป็นแรงงานในทาง “สากล”
การปรากฏขึ้นของ ยง อยู่บางยาง จึงเหมือนกับเป็นสินค้าตัวอย่างที่อาจสร้างความตื่นตะลึงแต่ก็ยังมิได้จำหลักอย่างหนักแน่นในทางความคิด
การมอง “ความรักของวัลยา” จึงต้องมองอย่างสัมพันธ์กับ “ปีศาจ”
เรื่อง “ความรักของวัลยา” เป็นกิจกรรมของปัญญาชน ชนชั้นกลางแท้ๆ นั่นก็คือเป็นกิจกรรมในทางความคิด ในการถกเถียง แสดงวาทกรรม
อาจมีความขัดแย้งบ้าง แต่ก็สามารถหาทางลงได้
ตัวอย่างของความเห็นต่างระหว่างวัลยากับเรวัตร ตัวอย่างของความเห็นต่างระหว่างไพจิตรกับเตือนตา
เด่นชัดยิ่งในเรื่องของ “มุมมอง” ต่อ “ชีวิต”
การสอดแทรกวิถีแห่งความคิดของจิตรกรเรอเนผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางมหานครปารีส คือภาพสะท้อนต่อวิถีดำเนินภายในโลกของศิลปะ
ความต่างระหว่าง “สัจจะ” กับ “เหนือสัจจะ”
สภาวะแห่งความตื่นรู้ของเรอเนมิได้ดำรงอยู่ภายในความครุ่นคิดเพียงด้านเดียว ตรงกันข้าม การแสดงออกของเด็กๆ ที่มีความรู้สึกต่อสงครามและสันติภาพต่างหาก กลายเป็นจุดตัดนำความเปลี่ยนแปลงมาให้กับเรอเนอย่างลึกซึ้ง
เหมือนกับเป็นการตื่นรู้อย่างฉับพลันทันใด แต่ในความเป็นจริงคือการสะสมในเชิงปริมาณกระทั่งกลายเป็นคุณภาพใหม่
เหมือนน้ำกลายเป็นไอ เหมือนเมฆกลายเป็นฝน
เมื่อเขียน “ปีศาจ” การถกเถียง อภิปราย ยังคงมีอยู่โดยเฉพาะระหว่างรัชนี กับ สาย สีมา หรือระหว่าง สาย สีมา กับ ท่านเจ้าคุณบิดาของรัชนี
แต่เมื่อตกมาถึง “กิ่งเทียน” กลับกลายเป็น “การปฏิบัติ”
นั่นก็คือ แปรนามธรรมในทาง “ความคิด” ให้กลายเป็นรูปธรรมด้วยการลงมือ “ทำ” อย่างเป็นจริง
นั่นก็คือ การนำเอามือหยาบกร้านให้แม่ลูบไล้
หรือแม้กระทั่งการเข้าไปสัมผัสกับความเป็นจริงในชนบท ภาวะหนี้สินและการจะถูกฟ้องร้องยึดครองที่ดินของชาวนา
การนำเอาภาพของ “ชาวนา” ในชนบทมาเปรียบเทียบกับ “คนจน” ในมหานคร
“ความรักของวัลยา” จึงแสดงออกในลักษณะตระเตรียมในทางความคิด ขณะที่ “ปีศาจ” นำเอาความขัดแย้งที่เป็นจริงมาฉายปะทะให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
รัชนีจึงมิได้มีแต่รำพึงรำพันแบบวัลยา
สาย สีมา จึงมิได้มีแต่คิดแล้วคิดอีกแบบวัลยา หากแต่ลงไปสัมผัสกับความเป็นจริงทั้งในเมืองและในชนบทแล้วตัดสินใจ
การดำรงอยู่ของ “ปีศาจ” จึงสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของ “ความรักของวัลยา” แม้มิได้ในทางตัวละคร แต่ก็ในทางความคิด
นี่เป็นพัฒนาการของ เสนีย์ เสาวพงศ์ อย่างทรงความหมาย
เป็นพัฒนาการจากระบวนท่าในแบบ “จินตนิยมใหม่” เข้าสู่กระบวนท่าในแบบ “อัตถนิยมใหม่”
เป็นการประสาน “ทฤษฎี” เข้ากับ “การปฏิบัติ”