กรองกระแส / ที่รุก กลับเป็นรับ 4 รัฐมนตรี 4 ยอดกุมาร รายรับ รายจ่าย

กรองกระแส

ที่รุก กลับเป็นรับ

4 รัฐมนตรี 4 ยอดกุมาร

รายรับ รายจ่าย

 

ต้องรับว่านับแต่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มีผลบังคับใช้ในทางเป็นจริงเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมเป็นต้นมา ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “ใหม่” หลายอย่างขึ้น

เป็นไปตามแต่เหตุ ปัจจัย โดยที่ยากจะกำกับ บังคับได้

หากศึกษาการยืนกระต่ายขาเดียวของ 4 รัฐมนตรีที่เข้าไปมีตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐโดยที่ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง

ก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงปัญหาที่จะตามมาในเชิงบีบรัดเป็นลำดับ

หากศึกษากรณีการปล่อยคลิปลับ คลิปรักระหว่างนักการเมืองกับนักเคลื่อนไหว ออกมาเพื่อกลบเกลื่อนและเบี่ยงเบนออกจากประเด็นอื้อฉาวอันเนื่องแต่กรณีโต๊ะจีนมูลค่ากว่า 650 ล้านบาทก็จะเห็นว่าผลมิได้เป็นไปตามเจตจำนงที่ตั้งไว้ในตอนต้น

ปรากฏการณ์ที่เด่นชัดเป็นลำดับก็คือ ที่คิดว่าจะเป็น “ผลดี” กลับกลายเป็น “ผลร้าย” ที่คิดว่าเป็นปฏิบัติการ “รุก” ในทางการเมืองกลับกลายเป็น “การตั้งรับ”

สถานการณ์แปร “โจทก์” ให้กลายเป็น “จำเลย”

จะเข้าใจต่อบทสรุปนี้ได้จำเป็นต้องเริ่มจากความเป็นจริง ไม่ว่าความเป็นจริงของ 4 รัฐมนตรี ความเป็นจริงของคลิปลับ คลิปรัก และความเป็นจริงของโต๊ะจีน

 

กรณี 4 รัฐมนตรี

กรณี 4 ยอดกุมาร

 

หากประเมินจากพื้นฐานทางสังคม พื้นฐานทางการศึกษาของ 4 รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ไปดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค ของพรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องยอมรับอยู่ในฐานะสูง

จำนวนหนึ่งเป็น “ดุษฎีบัณฑิต” จำนวนหนึ่งทำงานอยู่ใน “ภาคประชาสังคม” มีสายสัมพันธ์อยู่กับ “ราษฎรอาวุโส” น่าจะตระหนักในเรื่องของ “จริยธรรม”

ความจริงน่าจะแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่เริ่มต้น

แต่เนื่องจากพวกเขามีพันธกิจอยู่กับกระบวนการรัฐประหาร ได้รับการปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีจากผลพวงแห่งการรัฐประหาร จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามอนุศาสน์อันมาจากคณะรัฐประหารทำให้พวกเขาจำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่ง

เพื่อเป็น “กันชน” ให้กับตำแหน่งหัวหน้า คสช. หัวหน้ารัฐบาล

จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถลาออกได้ เพราะนั่นเท่ากับเขื่อนที่ตั้งเอาไว้เพื่อป้องกันหัวหน้า คสช. หัวหน้ารัฐบาลต้องพังทลายลงไปด้วย

ผลก็คือ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง คสช. รัฐบาล กับพรรคการเมืองเป็นไปอย่างยุ่งเหยิง

 

บทเรียน โต๊ะจีน

บทเรียน คลิปลับ

 

ที่การจัดโต๊ะจีน 200 โต๊ะ โต๊ะละ 3 ล้านบาทของพรรคพลังประชารัฐมีปัญหามิใช่เพราะว่าเป็นเรื่องที่ได้เงินมาเป็นจำนวนมากกว่า 650 ล้านบาท และทำให้เกิดการอิจฉา ริษยา หากแต่ที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากก็คือการได้มาของเงินมากกว่า 650 ล้านบาท

เป็นการได้มาโดยมิอาจแยกออกได้จากรากที่มาของพรรคพลังประชารัฐซึ่งสัมพันธ์กับรัฐบาล สัมพันธ์กับ คสช.

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานแห่งนโยบาย “ประชารัฐ” กับ “พรรคพลังประชารัฐ”

ความหมายก็คือ ไม่สามารถแยกออกได้ว่าด้วยอิทธิพลของ คสช. ด้วยอิทธิพลของ 4 รัฐมนตรี กับการดูเงินเข้ามาภายในพริบตาพลันได้มากถึง 650 กว่าล้านบาทดำเนินไปอย่างไร

สถานการณ์นี้ทำให้กลายเป็น “จำเลย” ในทางสังคม

จึงได้มีความพยายามนำเอาข้อมูลซึ่งสะสมและเก็บไว้นานหลายเดือนกลายเป็นคลิปลับ คลิปรักอันเป็นเรื่องอื้อฉาวในทางการเมือง “ปล่อย” ออกมาภายในกระบวนการปฏิบัติการด้านการข่าว หรือ IO เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจในทางสังคม

แต่แทนที่จะเป็นการเปิดโปงบุคคลซึ่งเป็นนักการเมือง นักเคลื่อนไหวที่ปรากฏอยู่ในคลิป กลับนำไปสู่คำถามถึงรากฐานความเป็นมาของคลิป บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่ามีแต่หน่วยงานด้านความมั่นคงเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ขึ้นได้

ผลก็คือ ความอื้อฉาวอันเนื่องแต่โต๊ะจีน 650 กว่าล้านบาทก็ไม่ยุติ กลับเพิ่มความอื้อฉาวจากการผลิตสร้างคลิปลับ คลิปรัก ขึ้นมาอีก

 

ที่คิดว่ารุก

กลับเป็นรับ

 

เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า กรณีที่ 4 รัฐมนตรีไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งจะยิ่งทำให้สายสัมพันธ์ระหว่าง คสช. รัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐนัวเนียจนยากที่จะแยกออกจากกันได้

ที่เคยคิดว่าจะเป็นประโยชน์ เป็นการชิงความได้เปรียบ ก็เริ่มจะไม่ใช่

เพราะจากกรณีของโต๊ะจีน 650 กว่าล้านบาท เมื่อประสานเข้ากับปฏิบัติการด้านการข่าวในกรณีคลิปลับ คลิปรัก ก็เด่นชัดว่าแทนที่จะจบกลับเป็นการสร้างประเด็นใหม่ขึ้นมา และที่สุดก็ยังพันพัวอยู่กับพรรคพลังประชารัฐอยู่นั่นเอง

จากนี้จึงเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า ที่เคยประเมินว่าจะเป็นรายรับ เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกในทางการเมืองอย่างต่อเนื่องกลับเป็นไม่ใช่ ผลที่ตามมาอย่างฉับพลันทันใดก็คือ ตกอยู่ในลักษณะอันเป็นรายจ่ายและกลายเป็นฝ่ายตั้งรับในทางการเมือง

  ในที่สุดสถานะอันเคยเป็น “ศูนย์กลางแห่งอำนาจ” ก็จะค่อยๆ พังทลายลงไป