อนุสรณ์ ติปยานนท์ : “รัก” กับความทรงจำแห่งเวลา

รัก/หลง/เมือง (2)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง สิ่งแรกที่เขากระทำหลังการจอดจักรยานของเขาในที่จอดคือการมองหาหญิงสาวรูปร่างโปร่งระหง

หญิงสาวที่แต่งกายในชุดที่ไม่ทันสมัยและไม่ล้าสมัย

หญิงสาวที่ทำให้เขาเกิดความอบอุ่นแม้ว่าเขาจะอยู่เพียงลำพังคนเดียวในโลกนี้ก็ตาม

รถไฟใต้ดินผ่านไปแล้วหลายขบวนแต่หญิงสาวผู้นั้นยังไม่ปรากฏตัว

เขามองดูนาฬิกาข้อมือ หากเขาไม่โดยสารรถไฟเที่ยวถัดไป การเริ่มงานของเขาในเช้าวันนี้จะเต็มไปด้วยการไปถึงที่ทำงานแบบเกินเวลา

เขาตัดสินใจเดินตรงไปที่แถว ยืนจดจ่อรอรถไฟเป็นคนแรก

เขาให้โอกาสเธอมากพอแล้วและยินดีรับความผิดหวังทั้งปวง

กระนั้นโชคชะตาของเขายังมีอยู่ หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นในแถวถัดไปแทบจะเวลาเดียวกับที่รถไฟใต้ดินจอดลงที่สถานี

เขาเหลียวมองดูเธอ ท่าทีของเธอเร่งรีบ เธอคงประสบกับบางสิ่งที่ฉุดรั้งเวลาของเธอให้คลาดเคลื่อนไป

ใบหน้าของเธอปราศจากการแต่งเติม เธอคงไม่มีเวลา

เสื้อผ้าของเธอไม่เรียบร้อย เขาแลเห็นกระดุมเม็ดสุดท้ายของชายเสื้อที่กลัดไม่สนิท

เธอคงไม่มีเวลา เส้นผมของเธอไม่เป็นระเบียบ เธอคงไม่มีเวลา ในเมืองหลวงแห่งนี้

เรามีทุกอย่างยกเว้นแต่สิ่งที่เรียกว่าเวลา

 

เขาโดยสารรถไฟตู้เดียวกับเธอ ยืนมองร่างโปร่งระหงนั้นด้วยความอิ่มเอิบใจ

เธอเหมือนนกน้อยที่บินมาเกาะคอนเพียงลำพัง วุ่นวาย สับสน แต่ก็ยังโผบินจนสำเร็จลุล่วง

ส่วนเขานั้น เหมือนปลาที่ถูกพัดมาเกยตื้นในบ่อน้ำเค็มกลางหาด

ไม่อาจจะโผลงทะเลได้อีกและต้องเฝ้ารอแต่กระแสน้ำขึ้นเท่านั้น

เมืองแห่งนี้สำหรับพวกเขาทั้งสองคนมีความหมายแตกต่างกันอย่างไร เขาใคร่รู้

สำหรับเขา เมืองแห่งนี้คือที่พึ่งสุดท้าย ที่พึ่งที่มั่นคง อย่างน้อยก็ในยามนี้ แต่สำหรับเธอเล่า เมืองแห่งนี้มีความหมายเยี่ยงใด เป็นดินแดนที่เธอผ่านทางมาหรือเป็นขุมทองปลายขอบฟ้าที่เธอใฝ่ฝันกัน

เขาแยกจากเธอที่สถานีใหญ่แห่งหนึ่ง เธอลงรถอย่างเร่งรีบ วิ่งโลดตะบึงไปยังบันไดเลื่อน

คงเป็นวันที่เธอมีนัดหมายสำคัญหากแต่เธอกลับจัดการเวลาไม่ได้

เขาอยากทักทายเธอ แต่สำหรับวันนี้ดูเหมือนทุกสิ่งจะไม่เป็นใจ

เขาลงรถไฟใต้ดินในสถานีถัดมา รู้สึกได้ถึงความเงียบเหงา

วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่กันแน่ เขานับปฏิทินในใจ เขากลับมาพักอาศัยที่เมืองหลวงแห่งนี้ถึงสองอาทิตย์แล้วหรือ

ช่างไม่น่าเชื่อเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาในเมืองหลวงดำเนินไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

เขาจำได้ถึงความทรงจำครั้งหนึ่งที่เขาเคยพำนักในหมู่บ้านเล็กๆ เพื่อทำวิจัย

วันเวลาในหมู่บ้านนั้นดำเนินไปอย่างเนิบช้า ผู้คนตื่นขึ้นในยามเช้าอย่างเนิบช้าราวกับเป็นเจ้าของเวลาทั้งปวงในโลก

ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างไม่มีกังวล กินอาหารตามเวลา นอนตามเวลา เดินทางเฉพาะเท่าที่จำเป็น ล่าสัตว์ เก็บพืชผักเพื่อมาเป็นอาหารหรือไม่ก็เดินทางไปแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มีกับสิ่งของที่จำเป็น

ชีวิตในหมู่บ้านแห่งนั้นไม่มีอะไรน่าจดจำ ทุกคนมีชีวิตเหมือนกันหมดแต่ขณะเดียวกันทุกคนก็มีชีวิตที่แตกต่างเพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นนายของเวลา

 

เย็นวันนั้น เขากลับถึงบ้าน ค้นสมุดบันทึกที่เขาใช้จดเรื่องราวในหมู่บ้านแห่งนั้น เล่มแล้วเล่มเล่า เขาค้นหาบทกวีบางบทที่เขาเขียนถึงหมู่บ้านแห่งนั้น

เวลาในหมู่บ้านแห่งนั้น และความรู้สึกยามนั้น หลังเวลาผ่านไปนับชั่วโมง เขาค้นพบมันในที่สุด

มันอยู่ที่ด้านในของปกสมุดบันทึกเล่มสุดท้ายที่เขาใช้งาน เรื่องราวของผู้คนที่หลงรักเวลา

คนที่หลงรักเวลา

คนที่หลงรักเวลาเป็นคนดี

เขาเรียนรู้เรื่องเวลา

เขาเรียนรู้ความดีจากเวลา

คนที่หลงรักเวลาเป็นคนล่องลอย

เขาเรียนรู้เรื่องเวลา

เขาล่องลอยกับเวลา

คนที่หลงรักเวลาเป็นคนรักการเดินทาง

เขาเดินทางไปและกลับ

ในเวลา

คนที่หลงรักเวลาเป็นคนสร้างสรรค์

เวลาของเขาไม่มีจุดเริ่มต้น

ไม่มีจุดสิ้นสุด

คนที่หลงรักเวลามักมาเยือนเราอยู่เสมอ

บางครั้งเขามอบเวลา

บางครั้งเขาทวงคืนเวลา

จากเรา

คนที่หลงรักเวลาสอนเรา

ให้รักเวลา

สอนเรา

ให้หลงรักเวลา

จนเรา

หลงรักเขา

และ

หลงรักเวลา

เราหลงรักคนที่หลงรักเวลา

จนในที่สุด

เรากลายเป็น

คนที่หลงรักเวลา

 

หลังอ่านบทกวีบทนี้ เขานั่งคิดถึงเธอ

ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร มาจากที่ใด เขาพบว่าเธอเหมือนคนที่ยังดิ้นรนอยู่ภายใต้เวลา

ในเมืองหลวงแห่งนี้อีกหนทางหนึ่งที่จะมีชีวิตขึ้นได้นอกเหนือจากการมีความรักคือการกลับมามีเวลาเป็นของตัวเอง

เขาแน่ใจว่าเขายังไม่อาจมอบความรักให้เธอได้ แต่เขาสามารถมอบเวลาที่เขาสะสม เวลาที่เขาครอบครอง เวลาที่เขาจัดสรร ให้กับเธอ

เขาตั้งใจจะชวนเธอไปเดินเล่นอย่างช้าๆ ในสวนสาธารณะ

พูดคุยกันถึงเสียงนกร้องรอบๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ในสวน

เขาตั้งใจจะพาเธอไปฟังดนตรี ดนตรีในหอประชุมที่บรรเลงอย่างตั้งใจ ไม่ใช่ดนตรีที่เล่นเพียงเพื่อให้หมดเวลา

เขาตั้งใจจะพาเธอไปล่องแม่น้ำ แม่น้ำสายสำคัญของเมือง ล่องเข้าไปตามคลองต่างๆ เรียนรู้และมองดูชีวิตของผู้คนที่ไม่ได้รีบเร่งกับเวลา

เขาตั้งใจจะชวนเธอไปทานอาหารสักมื้อ เป็นมื้อที่นั่งทานได้อย่างยาวนานโดยไม่กังวลถึงเวลา

เขาตั้งใจจะพาเธอออกจากความเร่งรีบ สังเกตเมืองอย่างละเอียด มีชีวิตอยู่ในรายละเอียดเหล่านั้น ทั้งในแสงและเงาของเมือง ทั้งในรายละเอียดที่ถูกละเลยของเมือง ทั้งในชีวิตที่ถูกทอดทิ้งและหลงลืมไปของเมือง

เขาตั้งใจจะพาเธอเข้าไปในดินแดนเหล่านั้น

ดินแดนที่เขาเชื่อว่าเธอไม่เคยเดินทางไปถึงมันมาก่อน