สมุนไพรเพื่อสุขภาพ /โครงการสมุนไพรเพื่อการพึงพาตนเอง/มุนไพรเพื่อสุขภาพ /โครงการสมุนไพรเพื่อการพึงพาตนเอง

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ /โครงการสมุนไพรเพื่อการพึงพาตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org

กระท่อม-กัญชา

เป็นยาวิเศษหรือยาเสพติดร้ายแรง

ในวัฒนธรรมไทย (2)

ความตอนที่แล้ว เล่าถึงวรรณคดีไทยขุนช้างขุนแผนตอนพลายชุมพลจับเสน่ห์ โดยปลอมตัวเป็นแขกชวากับจหมื่นศรีไปล่อจับเถรขวาดที่ทำเสน่ห์พลายงาม

แผนขั้นแรกคือ ประเคนหม้อตุ้งก่าจุดกัญชาถวายพระ กะมอมกัญชาก่อน แต่พระแสบคอไม่เล่นด้วย ความว่า

 

“สองแขกขยับจับตุ้งก่า     จ้าหลิ่มยัดกัญชาไฟจุดเข้า

สูบคนละจ้าหลิ่มทำยิ้มเมา             เถรเฒ่าว่าอะไรข้างในดัง

สองแขกว่าข้างในนั้นใส่น้ำ             เถรขวาดว่ามันทำเป็นอีฉัง

กูจะขอลองรสหมดหรือยัง            หยิบไฟเก้กังมาทันใด

สองแขกก็ยัดกัญชาส่ง                  เถรชักคอก่งไม่ทนได้

แสบคอเป็นจะตายหงายหน้าไป      กูไม่เอาแล้วอย่าส่งมา”

 

เมื่อแผนขั้นแรกคือมอมกัญชาจ้าหลิ่ม (พวยใส่ใบกัญชา) ไม่สำเร็จ แผนขั้นสองคือมอมยาฝิ่น ปรากฏว่าเถรขวาดติดฝิ่นงอมแงม เผลอคายความลับอย่างลืมตัว จากประสบการณ์ทางวัฒนธรรมยาเสพติดในวรรณกรรมประจำชาติเรื่องนี้บอกเราว่า กระท่อม-กัญชา เสพติดยากกว่าติดฝิ่น กินเหล้าหรือติดหมาก บุหรี่เสียอีก ยังมีตัวอย่าง ดูอย่างนางทองประศรีมารดาขุนแผน ตื่นเช้ามาไม่ทันล้างหน้าก็ตำหมากใส่ปากแล้ว

 

“ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างหล้า            ทองประศรีตื่นตาหาช้าไม่

ล้างหน้าตำหมากใส่ปากไว้                        นั่งเคี้ยวไป เคี้ยวไปแล้วตรองการ”

 

แต่ก็สะกิดเตือนไว้แน่นอน เหล้า กัญชา ยาฝิ่น ย่อมไม่ใช่ของดีตามค่านิยมไทย ดังเช่น พ่อแม่ไม่ยกลูกสาวให้คนกินเหล้าเมากัญชาติดยาฝิ่น ดังเนื้อความตอนนางศรีประจันสอบถามความประพฤติของพลายแก้วที่จะมาเป็นลูกเขยว่า

 

“ตูจะขอถามความท่านยาย            ลูกชายนั้นดีหรืออย่างไร

ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากัญชา                     ฝิ่นฝามันสูบบ้างหรือไม่”

 

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยจนกระทั่ง พ.ศ.2486-2487 พืชกระท่อม-กัญชายังไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทำลายสุขภาพหรือผิดศีลธรรมร้ายแรงเหมือนกับเหล้าบุหรี่ด้วยซ้ำ พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.2486 และพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2487 ซึ่งออกมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เพราะรัฐบาลยุคนั้นต้องการเก็บภาษีผูกขาดจากฝิ่นให้มากขึ้น จึงต้องกำจัดคู่แข่งซึ่งปลูกง่าย เสพง่ายแต่ไม่มีรายได้เข้ารัฐ

ถึงกระนั้น กฎหมายทั้งสองฉบับก็ยังอนุญาตให้ใช้พืชสมุนไพรทั้งสองชนิดในการประกอบโรคศิลปะได้ โดยเฉพาะแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน ที่มีอยู่ทั่วทุกท้องถิ่นทั้งประเทศไทย มีตำรับยาดีที่ประกอบด้วยส่วนพืชกระท่อม-กัญชา ทั้งที่เป็นยาตำราหลวงและพื้นบ้านนับร้อยตำรับที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แต่ภูมิปัญญาการแพทย์ดั้งเดิมของไทยกลับถูกตัดตอนทำหมันโดยรัฐไทยที่ขาดความรู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

โดยตราพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ตีตรวนพืชกระท่อม-กัญชา จากที่เคยเป็นสมุนไพรให้คุณทางการแพทย์อย่างอนันต์ กลายเป็นยาเสพติดให้โทษมหันต์ หรือพืชอาชญากรอุกฉกรรจ์ไปเลย

กล่าวเฉพาะพืชกระท่อมเอง สหประชาชาติมิได้ประกาศให้อยู่ในบัญชีรายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์แต่อย่างใด

นอกจากพม่า มาเลเซีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลียแล้ว ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ตีตราพืชกระท่อมเป็นพืชผิดกฎหมายเลย ยกเว้นประเทศไทยซึ่งเป็นถิ่นภูมิปัญญาพืชกระท่อมแท้ๆ

คิดดูเถอะ เมืองไทยมีข้อมูลการใช้พืชกระท่อมตามภูมิปัญญาพื้นบ้านมากที่สุด แต่เรากลับไม่ได้รับประโยชน์จากพืชกระท่อมเลย

ผิดกับประเทศที่ไม่เคยมีภูมิปัญญากระท่อมในอดีต อย่างญี่ปุ่นก็ยังชิงจดสิทธิบัตรสารไมตร้าจีนีน (7-hydroxy mitragynine) เป็นยาระงับปวดน้องๆ มอร์ฟีนเลยทีเดียว

 

ส่วนกัญชานั้นหลายประเทศ ทั้งในญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกาและยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ สามารถเข้าถึงการใช้ประโยชน์ของกัญชาในเชิงรุก ขณะที่เมืองไทยซึ่งเป็นแหล่งต้นพันธุ์กัญชาที่ดีที่สุดในโลก คือ พันธุ์หางกระรอก ในชื่อพฤกษศาสตร์ว่า แคนนาบิส ซาติวา (Cannabis sativa L.) กลับยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ว่าจะปลดล็อกกัญชาไปในทิศทางใด ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงและราคาถูกที่สุดโดยไม่ตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนผูกขาดทางการแพทย์

ถ้าว่ากันโดยสปีชีส์ (species) แล้ว นักพฤกษศาสตร์ย่อมรู้ดีว่า พืชวัตถุใดที่มีชื่อสปีชีส์ภาษาละตินว่า “sativa , sativum หรือ sativus” แสดงว่า พืชชนิดนั้นกินเป็นอาหารได้อย่างปลอดภัย (Eatable product)

เช่น ข้าวเจ้า (Oryza sativa), ข้าวโอ๊ต (Avena sativa), เกาลัด (Castanea sativa), กระเทียม (Allium sativum), ผักชี (Cariandrum sativum) และหญ้าฝรั่น (Crocus sativus) เป็นต้น

การสร้างมายาคติว่าการปลดล็อกกระท่อม-กัญชาจะทำให้มีคนขี้ยามากขึ้น และมีการใช้ในทางที่ผิดมากขึ้น โดยลืมไปว่ากระท่อม-กัญชาเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นยาดีได้ด้วย ไม่ใช่เหล้าบุหรี่ที่มีแต่โทษ

การล็อกหรือผูกขาดกระท่อม-กัญชาเท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้หมอไทย หมอพื้นบ้านได้ใช้ภูมิปัญญาพัฒนาด้านบวกของสมุนไพรทั้งสองนี้ได้อย่างเต็มที่ จึงเปิดช่องให้พวกขาดความรู้นำไปใช้ในทางที่ผิดด้านเดียว

จนฝ่ายความมั่นคงหวาดผวาหรือเกิดภาพหลอนจากมายาภาพที่พวกตนสร้างขึ้นเอง โดยที่หารู้ไม่ว่า ทั้งการปิดกั้นหรือการผูกขาดจะก่อให้เกิดโทษอย่างมหันต์ยิ่งกว่าการคลายล็อกและการเปิดกว้างเสียอีก

มูลนิธิสุขภาพไทยลงภาพกัญชาเมื่อครั้งที่ผ่านมาคลาดเคลื่อน ได้แก้ไขภาพที่ถูกต้องในครั้งนี้ จึงขออภัยผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้

ก้าวสู่ปีใหม่นี้ หวังใจว่ากระท่อม-กัญชาจะกลับมาสู่การใช้ประโยชน์เพื่อช่วยบำบัดรักษาโรคและดูแลสุขภาพให้กับคนไทยได้วันหน้า