คำ ผกา l ตัวบ่อนทำลายศักดิ์ศรีพลเมือง

คำ ผกา

หลายคนเปรยว่าเราไม่ควรมีความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเป็นการเลือกตั้งบนกติกาที่ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย

พูดอย่างรวบรัด การเลือกตั้งจะเป็นเพียงพิธีกรรมให้กลุ่มที่ขึ้นสู่อำนาจรัฐด้วยการรัฐประหารสามารถอยู่ในอำนาจรัฐต่อไปได้โดยมีพิธีกรรมการเลือกตั้งมารองรับความชอบธรรมให้

ความ “หน้ามึน” ของกลุ่มที่อยากอยู่ในอำนาจโดยเอาตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำในนามของการเลือกตั้ง

นอกจากจะมีกติกา กฎหมาย ทั้งกฎหมายปกติ กฎหมายพิเศษอยู่ในมือแล้ว ยังสามารถใช้กลไกรัฐ ทั้งหน่วยงานราชการ ข้าราชการ งบประมาณ ไปจนกระทั่งให้รัฐมนตรีไปตั้งพรรคการเมือง

มิหนำซ้ำยังมีอำนาจคู่ขนานไปกับอำนาจของ กกต. เสียอีก

ยังไม่นับ ส.ว. 250 คน ที่ไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชน

โอ๊ย แล้วแบบนี้เราจะเลือกตั้งไปทำไม?

ฉันยังยืนยันว่า ในท่ามกลางความเสียเปรียบทั้งสิ้นทั้งปวงของผู้ใฝ่ฝันในประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งก็ยังดีกว่าไม่มีการเลือกตั้ง

ในความจำกัดจำเขี่ยทั้งปวงเหล่านี้ เรายังอุตส่าห์มีพรรคการเมืองแบบพรรคอนาคตใหม่ ที่กล้าโยนอะไรใหม่ๆ ลงมาในสังคมไทย

เช่น การพูดถึงรัฐสวัสดิการอย่างจริงจัง

การลดงบประมาณซื้ออาวุธแล้วโยกมาใช้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของประชาชน

พูดเรื่องการลบล้างผลพวงรัฐประหาร ฯลฯ อันจะทำได้หรือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เกิดเป็นบทสนทนาและข้อถกเถียง

และนั่นทำให้พรรคการเมืองเก่าๆ ต้องขยับ เช่น ประชาธิปัตย์ต้องออกมาพูดเรื่องยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ออกมาพูดเรื่องการให้เงินอุดหนุนเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนเรียนจบ (ซึ่งคือสวัสดิการ)

และในขณะเดียวกัน ทำให้พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ ต้องออกมาแสดงจุดยืนทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ที่ชัดเจนขึ้นว่าต้องเป็นประชาธิปไตย

ต้องหาฉันทามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องแก้ปัญหาปากท้อง

หลังการปลดล็อกพรรคการเมือง เราจึงเห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเข้มข้น จากพรรคการเมืองหลักๆ เกือบทุกพรรค รวมไปถึงการประสานเสียงวิจารณ์การวางตัวของรัฐบาล และท่าทีของนายกรัฐมนตรีต่อการเตรียมตัวเป็น “นักการเมือง” ในอนาคตอันใกล้

พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ต่อให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นการเลือกตั้งบนกติกาที่ไม่เป็นคุณแก่ฝ่ายประชาธิปไตยสักแค่ไหน

แต่การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น-ด้วยตัวของมันเอง-ทำให้เผด็จการเต็มใบต้องลดรูปเป็นเผด็จการครึ่งใบ

และเมื่อเผด็จการอยากชำระตัวในการเลือกตั้ง จะมากจะน้อย หนึ่งคะแนน สองคะแนน จาก “เสียง” ของประชาชน อันอาจมีเสียงจัดตั้งแต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า มันก็ต้องมีเสียงที่ไปโหวตให้แบบจริงๆ บ้าง เราจึงได้เห็นการจับมือกันของเผด็จการกับนักเลือกตั้ง

ซึ่งสำหรับฉัน การจับมือกันของเผด็จการกับนักเลือกตั้งจะสร้างพลวัตที่น่าสนใจในการเมืองไทย

นั่นคือ นักเลือกตั้งก็จะสูญเสียเครดิตในฐานะนักการเมืองอันต้องมีลมหายใจบนความเป็น populist

ส่วนเผด็จการก็จะสูญเสียอำนาจที่สำคัญมากที่มีเผด็จการเท่านั้นจะมี คืออำนาจแบบโนสนโนแคร์ เพราะอำนาจนี้เป็นอำนาจที่ได้มาจากการใช้ความรุนแรงและปราบกดคนใต้ปกครองไว้ภายใต้ความกลัว

แต่การเลือกตั้งทำให้เผด็จการต้องสละสิ่งนั้นแล้วหันไปสร้าง popularity จากมวลชน

พวกเขาจึงต้องออกไปพบประชาชน ไปขอความรักจากประชาชน ไปขอความเห็นใจ ไปจนกระทั่งหว่านโปรยเงินลงไปบนประชาชนอย่างมหาศาล เพื่อซื้อความรักและความไว้วางใจ

การรวมร่างของนักเลือกตั้งกับเผด็จการจึงกลายเป็นการสูญเสียจุดแข็งของทั้งสองฝ่าย ผลลัพธ์คือจะพากันอ่อนแอไปด้วยกันทั้งคู่

เพราะเผด็จการมาสวมบทบาทนักการเมืองขอความรักจากประชาชน

ส่วนนักเลือกตั้งมารวมร่างขายตัวให้เผด็จการก็เท่ากับทำลายความเป็นนักการเมืองของตนเองลงอย่างหมดจด กอบกู้ไม่ได้ ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองตลอดชั่วกัลปาวสาน

การบ้านหลังจากนี้จึงเป็นการบ้านของพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ นั่นคือ พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหมดว่าจะมียุทธศาสตร์ที่จะชนะในเกมนี้อย่างไร ตั้งแต่อาจต้องทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนเรื่องการเลือกตั้ง

ไปจนกระทั่งการปักธงว่า เป้าหมายเดียวของการเลือกตั้งครั้งที่เราต้องการคือ ปักธงไปที่อุดมการณ์ประชาธิปไตยก่อน

เราเลือกตั้งเพื่อปฏิสังขรณ์ เอาประชาธิปไตยกลับคืนสู่สังคม เมื่อมีประชาธิปไตยแล้ว เรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ยาเสพติด กัญชา เกย์ ฯลฯ ย่อมจะคลี่คลายตามมาได้อีกเรื่อยๆ

ดังนั้น การออกไปโหวต ต้องเป็นการโหวตบนความพยายามที่จะเห็นพรรค “กลุ่ม” ประชาธิปไตยได้เสียงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

สำหรับฉันในฐานะประชาชน – หน้าที่ของเราคือฉวยทุกประโยชน์จากความปรารถนาในชัยชนะของพรรคการเมือง!

สำหรับฉันในฐานะของประชาชน – หน้าที่ของเราคือฉวยทุกผลประโยชน์จากพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามเผด็จการแล้วผลักดันให้พวกเขาทำภารกิจนั้นกับเราด้วยเงื่อนไขเดียวคือ คุณแพ้ เราก็แพ้, เราแพ้ คุณก็แพ้

สำหรับฉัน มีการเลือกตั้งจึงดีกว่าไม่มี ไม่ว่าจะอยู่บนความบิดเบี้ยวสักเพียงใดก็ตาม

แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่ากติกาที่บิดเบี้ยว คือความพยายามของคนหลุ่มหนึ่งในสังคมไทย ที่ไม่รู้ว่าโง่ หรือบ้า หรือไร้เดียงสาอย่างแท้จริง ที่ตอนนี้เริ่มออกมาสวมบทบาท “คนกลาง” “คนดี” ที่หวังดีต่อสังคม และแน่นอนคนพวกนี้สวมหมวกผู้ไม่ปรารถนาในผลประโยชน์และลาภยศสรรเสริญใดๆ

คนพวกนี้จะเริ่มจากการด่าเผด็จการ ด่าทหาร ด่า คสช. ว่านำพาประเทศมาสู่จุดที่ตกต่ำ เศรษฐกิจเสื่อมถอย บ้านเมืองขาดการตรวจสอบ ถ่วงดุล เศรษฐกิจตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่ทุน สังคมขับเคลื่อนด้วยความโลภ กิเลส – แต่อีคนเดียวกันนี้แหละ ที่ไม่ยอมลากความทรงจำไปยาวว่า ใครหนอ นำพาบ้านเมืองมาสู่จุดนี้

ใครออกบัตรเชิญให้เกิดรัฐประหารถึง 2 ครั้งในรอบ 10 ปี

อีคนเดียวกันนี้แหละ ลืมไปว่า เออ…ตรูนี่แหละ มีส่วนทำลายความชอบธรรมของการเลือกตั้ง ด่าประชาชนว่าเป็นควาย โง่ ไร้การศึกษา ถูกซื้อเสียง

ถึงตอนนี้ มาตีเนียนด่าทหารซะงั้น!

ยังพีกไม่พอ ด่าทหาร ด่านายทุนเสร็จ กลับมาด่านักการเมืองต่อว่า เนี่ย ดูสิ พอจะมีการเลือกตั้ง นักการเมืองที่มีพฤติกรรมเปรตๆ กลับมาอีกแล้วจ้า

ประชาชนกำลังจะตกเป็นทาสของประชานิยมอีกรอบ นักการเมืองไร้คุณธรรม ไร้จุดยืน ถูกซื้อตัว จับประชาชนไปเป็นตัวประกัน แล้วการเมืองจะวนกลับมาที่เดิม น้ำเน่าเหมือนเดิม ไม่เพียงเท่านั้น คนกลุ่มนี้ยังมีความประสาทแดกอย่างมากกับผีทักษิณ และตอนนี้ต้องเพิ่มผียิ่งลักษณ์ไปอีก โดยการวิเคราะห์ว่า การเมืองจะไม่มีพัฒนาการ แม้มีการเลือกตั้ง เพราะยังมีพรรคการเมืองที่ถูกชี้นำจาก “ผู้ร้ายหนีคดี” จากนอกประเทศ

ซึ่งฟังแล้วก็ต้องยกเอาตีนมาก่ายหน้าผากอีกว่า ตกลง “คนดี” เหล่านี้จะเอาอะไร

ทหารก็ไม่เอา เลือกตั้งก็ไม่เอา นักการเมืองก็ไม่เอา

หรือจริงๆ แล้ว ลึกๆ แล้ว “คนดี” เหล่านี้ ระรี้ระริกจะแย่ อยากได้รับเชิญไปเป็นส่วนหนึ่งของ “รัฐบาล” คนนอกเสียเอง

ส่วนจะอยู่ในระบอบไหนก็ช่างหัวมัน – ลึกๆ แล้ว ระรี้ระริกอยากมีอำนาจแบบไม่ต้องไปเป็นนักการเมือง แบบไม่ต้องลงเลือกตั้ง อยากให้คนส่งเสลี่ยงคานมาหามไปนั่งบนตำแหน่งอะไรสักอย่างไปเลย

และจะขอพูดอีกเป็นครั้งที่ล้านว่า การยืนระยะอยู่กับการเลือกตั้งและประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสังคมไทยตอนนี้

โดยไม่สำคัญว่านักการเมืองเป็นคนดีหรือไม่ หน้าที่ของประชาชนอย่างเราคือ “ใช้” นักการเมืองทั้งดีและชั่วเหล่านั้นให้คุ้มค่าภาษีเรามากที่สุด

และมีแต่ประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเท่านั้นจะมอบอำนาจการตรวจสอบและลงโทษนักการเมืองแก่เรา

บ้านเมืองจะไม่กลายเป็นดินแดนสุขาวดี สวยงาม เพอร์เฟ็กต์ ภายในสิบปีหรือยี่สิบปีแน่นอน

แต่โปรดอย่าละทิ้งโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของอธิปไตย อำนาจในการปกครองตนเองแม้แต่วันเดียว

เพราะทุกๆ วันในระบอบประชาธิปไตยคือการเรียนรู้ของประชาชนอย่างเรา

คือสิทธิในการสร้างบทสนทนา ถกเถียง ไม่ใช่ถูกเขาปิดตาสั่งให้อ้าปากรอรับ “ทาน” ที่เขาโยนลงมาให้เพียงเล็กน้อยแล้วยังต้องวิ่งไปคอยงับๆ เอาเองแบบได้บ้างไม่ได้บ้าง

แทนการสาปส่งนักการเมืองชั่ว เราต้องสาปส่งพวกแอบอ้างสวมเสื้อคลุมนักบุญแล้วชี้หน้าด่ากราดทุกคนว่าเลว มีแต่กูเท่านั้นที่ดีที่ฉลาด ก่อนจะจบลงที่นิทานพล็อตเดิมๆ ว่า ประชาชนโง่เหลือเกิน น่าสงสารเหลือเกิน ประเทศสิ้นหวังเหลือเกิน กิเลสของสังคมนี้หนาเหลือเกิน ทุกคนเลวหมด กูนี้ดีอยู่คนเดียว

สำหรับฉัน คนอีหรอบนี้แหละ คือภัยต่อความมั่นคงของประชาธิปไตยและตัวบ่อนทำลายทุกพลังและศักดิ์ศรีของพลเมือง