เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์ /Suzuki cup 2018

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

Suzuki cup 2018

 

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เราคงได้ทราบแล้วว่าทีมชาติเวียดนามได้ครองแชมป์ฟุตบอล Suzuki cup 2018 ไปเรียบร้อยโรงเรียนเหงียนแล้ว

ซึ่งไม่ว่ามาเลเซีย หรือเวียดนาม ได้แชมป์ครั้งนี้ ต่างก็เป็นแชมป์ครั้งที่ 2 ของศึกรายการนี้ด้วยกันทั้งคู่ โดยเวียดนามเคยคว้าถ้วยครั้งแรกเมื่อปี 2008 ส่วนมาเลเซียได้เฮดังๆ ไปเมื่อปี 2010

ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับทัพดาวทอง “เวียดนาม” ด้วยจริงๆ

 

ซึ่งตอนเริ่มแข่งขัน ไทยเราต่างมาดมั่นว่าเราจะต้องคว้าถ้วยชนะเลิศของรายการนี้ให้ได้ เพราะนั่นจะเป็นการสร้างสถิติใหม่คือการได้แชมป์ 6 สมัย และครั้งนี้จะเป็นแชมป์ 3 สมัยติดกัน หลังจากที่ได้รับไปเมื่อปี 2014 และ 2016 มาแล้ว

แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า สุดท้ายแล้วไทยเราก็ทำได้เพียงตกรอบรองชนะเลิศ โดยพ่ายให้กับทีมชาติมาเลเซียไปด้วยสกอร์รวมเหย้าเยือน 2-2 ประตู แต่ที่ไทยต้องพ่ายไปก็ด้วยกฎประตูทีมเยือน เพราะทีมมาเลเซียบุกมาซัดเราได้ถึงถิ่น 2 ประตูด้วยกัน

ผลพวงจากการตกรอบรองของศึกซูซูกิ คัพครั้งนี้ เกิดกระแสตีกลับไปยังนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และหัวหน้าผู้ฝึกสอน มิโลวาน ราเยวัช อย่างมาก ถึงขั้นเรียกร้องให้ปลดราเยวัช และสมยศควรลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ

จะว่าไปแล้วแฟนๆ ฟุตบอลไทยก็ให้ความคาดหวังกับผลการแข่งขันจากรายการนี้มาก เพราะมันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราพร้อมจะก้าวข้ามอาเซียน เพื่อก้าวสู่ระดับเอเชียอย่างที่คาดหวังกันได้หรือยัง มิพักต้องพูดถึงการไปฟุตบอลโลกแต่อย่างใด

เมื่อผลออกมาเช่นนี้ แน่นอนที่จะต้องเกิดปฏิกิริยาน้องๆ สึนามิก็ไม่ปาน

 

สิ่งหนึ่งที่เป็นความเห็นของแฟนฟุตบอลคือ ไม่ประทับใจสไตล์การทำทีมของราเยวัช ที่เน้นการตั้งรับและโต้กลับ นั่นจึงทำให้รูปแบบการเล่นออกมาน่าเบื่อ ไม่สนุกเร้าใจเท่าที่ควร หากเล่นสไตล์นี้แล้วได้แชมป์ กระแสก็อาจจะไม่แรงเท่านี้ แต่พอผลออกมาตรงกันข้าม กระสุนจึงพร้อมใจกันตกใส่ราเยวัชอย่างช่วยไม่ได้

หลายคนบอกว่า เราเล่นกับระดับอาเซียน ไม่เห็นจะต้องไปกลัวคอยแต่ตั้งรับอย่างนั้น น่าจะบุกให้ฝ่ายตรงข้ามกลัวไปเลย เพราะแผงเกมรับเราก็พัฒนาจากเดิมขึ้นมาก บางคนยังบอกอีกว่า ถ้าเล่นให้สนุก บุกทำประตู ถูกใจแฟนๆ แต่ต้องตกรอบยังจะดีเสียกว่า

นัดสุดท้ายของการลงสนามของทีมช้างศึกที่สนามราชมังคลาฯ ผมก็อยู่ในบรรยากาศสดๆ ด้วย ต้องยอมรับว่าทีมชาติมาเลเซียเล่นได้ดีกว่าเราจริงๆ สมควรแล้วที่ได้เข้าไปชิงกับเวียดนาม

แต่ก็ต้องยกเครดิตหัวใจนักสู้ของนักเตะไทย ที่เล่นถวายชีวิตเช่นกันแต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะได้ ยิ่งมาเกิดดราม่าช่วงท้ายเกมเมื่อไทยเราได้จุดโทษ ที่ถ้ายิงเข้าก็ชนะทันที แต่เหมือนพระเจ้าแกล้ง กอล์ฟ-อดิศักดิ์ ไกรษร ยิงข้ามคานออกไปเฉยเลย

ตอนนั้นทั้งสนามเงียบกริบ มีแต่เสียงเฮโห่ร้องอย่างดีใจจากกองเชียร์เสือเหลืองเท่านั้น มันบีบหัวใจของแฟนๆ ชาวไทยเหลือแสน

หลังเสียงนกหวีดเป่าจบเกมดังขึ้น นักเตะไทยล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรงและเสียใจ

 

ที่โดดเด่นแต่สะเทือนใจอย่างมากคือ ภาพของ เจ้าแคมป์-สรรวัชญ์ เดชมิตร นั่งซึมอยู่คนเดียวกลางสนาม มิไยที่ใครจะเวียนเข้าไปปลอบโยน แต่เขายังคงนั่งก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นคนเดียวเป็นเวลานาน เชื่อว่าตอนนั้นหัวใจของเขาคงแตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะตลอดการแข่งขันเราได้เห็นความทุ่มเทชนิดเกินร้อยของนักเตะคนนี้ในทุกๆ เกมอย่างชัดเจน รวมถึงแมตช์สุดท้ายนี้ด้วย

จากคนที่แฟนๆ บอลเคยเกลียดขี้หน้า แต่เขาเอาผลงานของเขาเป็นตัวพิสูจน์ จนแฟนบอลยอมรับเขาเข้าไปอยู่ในหัวใจในที่สุด

เรื่องนี้บอกอะไรกับเราบ้าง…

 

อย่างแรกเลย ไม่มีอะไรที่แน่นอนในโลกใบนี้ เป็นสัจธรรมที่เห็นจริงที่สุด ทุกอย่างมีขึ้นและมีลง เพียงแต่เราต้องทำความเข้าใจกับมันเท่านั้น

ที่เราต้องพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ก็มาด้วยหลายปัจจัย เราเก่งน้อยลง คนอื่นเก่งมากขึ้น เราเก่งแล้วแต่คนอื่นเก่งกว่า เราวางแผนการเล่นไม่ดีพอ รวมถึงเรื่องโชคก็ด้วย

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วโดยส่วนตัวผมไม่เสียใจที่ทีมชาติไทยต้องตกรอบ เพราะถ้าเราสามารถเล่นได้ประมาณเพียงเท่าที่เห็นนี้ และเห็นทีมอื่นเล่นได้แข็งแรงกว่า ทางบอลดีกว่า มีการแก้เกมที่เหนือชั้นกว่า เราก็ต้องก้มหัวยอมรับว่าปีนี้เรามาไม่ดีพอจริงๆ

แล้วก็หันไปปรับปรุงแก้ไขใหม่ เพื่อจะได้พัฒนาต่อไป

ผมเคยเขียนถึงไปแล้วเหมือนกันว่า จริงๆ แล้วอยากให้นักเตะทั้งอาเซียนของเราเก่งขึ้นๆ เก่งพอๆ กัน คงจะสนุกถ้าทีมชาติลาวก็ชนะทีมใหญ่ๆ ได้ ถ้าทีมติมอร์-เลสเตจะได้เข้าชิง ผมว่าจะเกิดการแข่งขันที่สนุกสนานเข้มข้นมาก และสุดท้ายมันจะเป็นการยกระดับฟุตบอลทั้งอาเซียนของเราเอง

เหมือนฟุตบอลเจลีกของญี่ปุ่น ที่ไม่มีทีมใหญ่ทีมเล็ก ทุกทีมมีฝีเท้าไม่ต่างกันมาก เมื่อเจอกันสามารถต่อกรมีผลแพ้ชนะกันได้ตลอด ฟุตบอลของญี่ปุ่นจึงไปไกลชนิดสู้กับทีมใหญ่ๆ ของโลกดังที่เราได้เห็นมาแล้ว

 

อีกอย่างหนึ่งที่เรื่องนี้บอกเราคือ “ทำดีกว่าพูด”

ในกรณีของ แคมป์-สรรวัชญ์ เดชมิตร เป็นตัวอย่างที่ดี ก่อนการแข่งขันจะเริ่ม เขาถูกตั้งข้อกังขาว่าดีพอจะติดทีมชาติจริงหรือ นิสัยในสนามของเขาเหมาะจะเป็นตัวแทนทีมชาติไทยแล้วหรือ

แต่สรรวัชญ์ไม่ขอพูดมาก เขาก้มหน้าก้มตาเล่น วิ่ง เพรสซิ่ง แทงบอลสวยๆ ให้เพื่อนทำประตู วิ่งสู้ฟัดตั้งแต่นาทีแรกจนเสียงนกหวีดหมดเวลาดังในทุกๆ เกม สุดท้ายเขาก็เป็นหนึ่งในนักเตะไทยในศึกซูซูกิคัพครั้งนี้ที่มีความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ

คนเราจริงๆ แล้วไม่ต้องอะไรมากเลย ใครจะว่าอย่างไรช่างเขา เราต่างหากที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง และต้องเป็นการพิสูจน์ด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด

ดังจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนที่สุดคือ นักเตะร่างเล็กอย่าง เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ ไม่ว่าตอนที่เขาเริ่มต้นย้ายไปเจลีกจะถูกวิจารณ์ ถูกตั้งข้อสงสัยอย่างไรก็ตาม แต่เขาก็ฟังแล้วเงียบ และก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อม ปรับตัวให้เข้ากับสไตล์ฟุตบอลแบบญี่ปุ่น ให้เข้ากับเพื่อนร่วมทีม ให้สามารถตอบสนองความต้องการของโค้ชให้ได้ และในที่สุดด้วยผลงานอันโดดเด่นของเขา

จึงส่งผลออกมาได้ด้วยตัวมันเอง

ทั้งการเป็นที่ยอมรับว่าเขาสามารถเล่นในเจลีกได้ จนต้นสังกัดขอทำสัญญาซื้อขาดจากสโมสรเมืองทองเลย ผลงานก็ดีจนเพื่อนร่วมทีมโหวตให้เขาเป็นนักเตะที่ทรงคุณค่าของสโมสรในปี 2018 นี้ นอกจากผลงานที่ดีแล้ว เขายังวางตัวดีจนแฟนๆ สโมสรซัปโปโรโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2018 อีกด้วย และในภาพรวมเขาก็ได้รับเลือกจาก DAZN ผู้ถือครองลิขสิทธิ์เจลีกให้มีชื่อติดในทีมที่ดีที่สุดประจำปี 2018 ของเจลีกอีกด้วย

สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากเรามัวแต่เถียงคนที่เขาวิจารณ์เรา หรือมัวพูดหาข้อแก้ตัว

เพราะคำพูดที่พูดออกมา หลายครั้งนอกจากจะไม่ช่วยอะไรเราแล้ว ยังย้อนมาเล่นงานเราทีหลังได้ ไม่เชื่อลองดูในกรณีของ พล.ต.อ.สมยศก็ได้ว่า ที่พลั้งเผลอปากไว พูดโดยไม่คิด จนทำให้วลี “ใครไม่อาย ผมอาย” กลายเป็นหนามที่ย้อนมาทิ่มแทงเขาได้ทุกเมื่อ เป็นไงล่ะ

หรือคำพูดที่ไม่ให้เกียรติคู่แข่งของนายทวารทีมชาติไทย ฉัตรชัย บุตรพรม ที่เย้ยไปถึงนักเตะมาเลเซียก่อนจะแข่งขันนัดสุดท้ายว่า “ขอให้คืนนี้นอนหลับฝันดีนะ เพราะพรุ่งนี้จะเป็นฝันร้ายของคุณ”

และท้ายที่สุดก็อย่างที่รู้กัน คนที่ต้องนอนฝันร้ายคือทีมชาติไทย โดยเฉพาะกับเขาที่รับลูกพลาดจนนักเตะมาเลย์สามารถถลุงไป 2 ประตูได้ อย่าว่าแต่ฝันร้าย แต่คงนอนไม่หลับเลยละ

นี่เป็นบทเรียนว่าเวลาพูด ควรพูดหลังคิด พูดให้น้อย พูดด้วยสติ พูดอย่างให้เกียรติตนเองและคนอื่น และถ้าจะดีไม่ต้องพูดก็ได้ แต่ ทำ ทำ ทำ เพราะการกระทำจะเป็นคำตอบให้กับทุกอย่างได้

ขอจบเรื่อง Suzuki cup 2018 แต่เพียงเท่านี้นะครับ ไม่อยากพูดมาก…เจ็บคอ แฮะ แฮะ