จัตวา กลิ่นสุนทร : ถนนสู่สนาม “เลือกตั้ง 2562” เริ่มมีอาการไม่ราบเรียบ

เนื่องจากรัฐบาลรักษาการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการวางแผนโกงการ “เลือกตั้ง” กันอย่างน่าเกลียดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 จนกระทั่งสื่อมวลชนและประชาชนประณามว่าเป็น “การเลือกตั้งที่สกปรก”

เพราะเป็นการโกงทุกรูปแบบ โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเครื่องมือ ตั้งแต่ก่อนการลงคะแนนจนกระทั่งถึงเวลาปิดหีบนับคะแนนยังพยายามโกงต่อไปอีก จนในที่สุดถึงขนาดเปลี่ยนหีบบัตรลงคะแนน

อย่างนี้กระมังที่เรียกว่า “โคตรโกง”

แต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ แถลงต่อหนังสือพิมพ์ว่า อย่าเรียกว่า “เลือกตั้งสกปรกเลย” ควรเรียกว่าเป็น “การเลือกตั้งไม่เรียบร้อย” เท่านั้น

การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่เป็นที่ยอมรับของนิสิต นักศึกษา ประชาชน จึงได้รวมตัวกันออกมาเดินขบวนประท้วง

แม้จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในเดือนมีนาคม

แต่ก็อยู่มาได้ไม่กี่เดือน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำกำลังเข้า “ปฏิวัติ-ยึดอำนาจ” ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500

 

มีการหยิบยกการเลือกตั้งครั้งนั้น แม้จะมีระยะห่างกันถึง 62 ปี มาพูดคุยเปรียบเทียบด้วยความหวั่นวิตกเกรงว่าเหตุการณ์จะหมุนเวียนมาเกิดขึ้นในการ “เลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562”

ความจริงเหตุการณ์ในทำนองประเภทเดินย่ำซ้ำรอยประวัติศาสตร์ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้มีอำนาจจากกองทัพ ซึ่งย่อมศึกษาความเป็นมาจากทหารรุ่นก่อนๆ เพื่อดำเนินตามแบบอย่าง

เหมือนดังเช่นที่นักวิเคราะห์ ตลอดจนผู้ใกล้ชิด “ศูนย์กลางอำนาจ” ได้บอกกล่าวเล่าขานกันว่า ผู้นำซึ่งอยู่ในอำนาจปัจจุบันนี้ต้องการสืบทอดอำนาจต่อไปอีกหลังการเลือกตั้งโดยมีพรรคการเมืองบางพรรคให้การสนับสนุน ต้องการอยู่ในอำนาจเหมือนการเข้าสู่การเมืองในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ของ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” รัฐบุรุษ ปรารถนาจะเป็นผู้นำแบบท่าน ว่ากันอย่างนั้น

ถ้าเป็นจริงดังที่คาดหมายกันคงจะต้องบอกว่า ไม่ควรเอาไปเปรียบเทียบกันได้เลย เพราะต่างยุคต่างสมัย ต่างเหตุการณ์ สภาพความเป็นไปของบ้านเมืองมิได้อยู่ในบรรยากาศซึ่งควรจะต้องบริหารจัดการเหมือนอย่างที่ผ่านมา

ยิ่งกว่านั้นบุคคลย่อมแตกต่างกันด้วยอุปนิสัยส่วนตัว กิเลสตัณหา วาสนาบุญบารมี และสติปัญญา

สุภาพนุ่มนวลด้วยมาดของสุภาพบุรุษ ไม่โฉ่งฉ่างยโสโอหังวางมาดกร่างเยี่ยงนักเลงลีลาพาทีดุดันโวยวาย ลักษณะอารมณ์แปรปรวน บางครั้งกลายเป็นตัวตลกซึ่งอาจวิเคราะห์ได้ว่าเพราะมีผู้สนับสนุนมาก ผู้แวดล้อมติดตามยั้วเยี้ย และ ฯลฯ จึงไม่หวั่นเกรงผู้ใด สักวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไป

คงได้ดูได้เห็นกันอย่างแน่ๆ ถ้าไม่พ่ายแพ้อดตายไปเพราะพิษ “เศรษฐกิจ” ของประเทศเสียก่อน

 

จากปี พ.ศ.2557 หลังการยึดอำนาจรัฐบาล (อดีต) นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรียบร้อย มีการแต่งเพลงบอกประชาชนเหมือนเป็นสัญญาว่าจะแก้ปัญหาความแตกแยกของผู้คนในประเทศ สร้างความปรองดอง ปฏิรูปการเมือง

จัดระเบียบสังคมพร้อมระดมบัณฑิต ปราชญ์ ทั้งหลายมาช่วยกันสร้างกฎกติกา ร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศขึ้นอย่างฉับไวด้วยความเป็นธรรม แล้วรีบคืนอำนาจให้ประชาชนเจ้าของประเทศ สร้างความหวังให้แก่ประชาชนในระดับหนึ่ง

นานไปกลับแปรเปลี่ยนเป็นลากเอาพวกสอพลอเข้ามาเสวยสุขด้วยเงินภาษีของราษฎร กินเงินเดือนกันเต็มเหนี่ยวสูงสุดทับซ้อนกันมากมายหลายตำแหน่ง

ทหารจากกองทัพออกมาเพ่นพ่านเต็มไปทั่ว

แต่ประชาชนนิ่งเฉยเพราะคิดว่าจะได้พบสิ่งที่ดีกว่า จึงต่างอดทนกันเพื่อหวังจะเห็นแสงสว่าง เห็นความสงบเรียบร้อยพร้อมคืนกลับสู่ความเป็น “ประชาธิปไตย” มีสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน สามารถอ่านเรียนเขียนคิดแสดงออก และเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาได้

เวลาได้ผ่านเลยยาวนาน เหตุการณ์มิได้เป็นไปอย่างที่ประชาชนรอคอย

กลับได้เห็นแต่ความมั่งมีศรีสุขของคนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งแวดล้อมผู้มีอำนาจอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ไม่นับกลุ่มทุนผู้มั่งคั่งนับตัวนับตระกูลได้เพียงน้อยนิดหากแต่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลมากกว่าคนทั้งประเทศรวมกัน ได้แต่เพิ่มพูนความร่ำรวยผูกขาดกิจการ และระบบเศรษฐกิจในประเทศเสียแทบทั้งหมด

คนจำนวนมากของประเทศในอาชีพเกษตรกรต้องตกอยู่ในสภาพลำบากเดือดร้อนเพราะพืชผลทางการเกษตรตัวหลักๆ ราคาตกต่ำลง

 

นักการเมือง พวกที่เรียกตนเองว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่แอบให้การสนับสนุนให้กลุ่มผู้มีอำนาจปัจจุบันนี้ “ยึดอำนาจ” เพื่อหวังได้เป็นใหญ่เป็นโตมีผลประโยชน์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะได้เอาชนะ 2 พี่น้องตระกูล–ซึ่งประชาชนเลือกเขาเข้ามาจนได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ทั้ง 2 คนบ้าง

วันนี้ทนไม่ไหวกับการเปลี่ยนไปของผู้มีอำนาจที่แอบสนับสนุนจนได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จทำท่าจะลืมเลือนสัญญาใจ ที่สุดต้องยอมตระบัดสัตย์ที่เคยสัญญากับประชาชนว่าไม่เอาอีกแล้ว ไม่เล่นการเมืองแล้ว ทำท่าว่าจะบวชไม่สึกหลังจากที่ชักชวนประชาชนออกมา “ปิดกรุงเทพฯ” สร้างความเสียหาย ทำลาย “เศรษฐกิจ” ทำลาย “ประชาธิปไตย” และโอกาสของบ้านเมืองด้วยความหลงผิด กลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองต่อไป

แม้วันนี้พรรคพวกร่วมอุดมการณ์จะได้เก็บเกี่ยวเศษเลยในตำแหน่งอะไรต่อมิอะไรในรัฐบาลทหารกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่ากับเป็นการเปิดเผยว่าเป็นกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่เดิม

ผู้ต้องการสืบทอดอำนาจพยายามทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องของคดีความยังนำเอามาเป็นเครื่องต่อรองจะช่วยเหลือถ้าหากให้การสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ทุ่มเทเงินทองดูดเข้ามาโดยมีกลุ่มทุนเกื้อหนุน

แต่ตัวละครเอกยังวางท่าทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้ลิ่วล้อดำเนินการกันอย่างเปิดเผย

 

อยากย้อนกลับไปถามตามประสาคนอ่อนด้อยด้วยปัญญาว่า หากวันนั้น ในเดือนพฤษภาคม 2557 เมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่าน ไม่มีการ “ยึดอำนาจ” แต่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง “ทหาร ตำรวจ” ปฏิบัติงานตามหน้าที่ให้การสนับสนุนการเลือกตั้ง จับกุมดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ขัดขวางการเลือกตั้ง ปล่อยให้การเลือกตั้งมันดำเนินต่อไป อะไรจะเกิดต้องให้มันเกิด

จะมีผู้คนล้มตายกันมากมายดังกล่าวกันจริงหรือไม่?

ไม่มีใครให้คำตอบได้ คิดว่าในแต่ละชาติ แต่ละประเทศกว่าจะได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ เป็นประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่ต้องสูญเสียกันมาก่อนทั้งสิ้น

บ้านเมืองเราเดินทางมาถึงวันนี้ด้วยความหวังว่ารัฐบาล “เผด็จการทหาร” ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จพร้อมผู้รับใช้จะใช้กฎหมายพิเศษจัดการเรื่องต่างๆ กฎกติกา เรื่องคอร์รัปชั่นด้วยความเป็นธรรม จัดทำ “รัฐธรรมนูญ” ให้เป็นสากล ไม่เฉพาะเจาะจงจ้องจะจัดการกับฝ่ายการเมือง หรือกลุ่มผู้คนเล็กๆ น้อยๆ ตระกูลบางตระกูล อดีตผู้นำบางท่านเท่านั้น

เรียกว่าทำงานด้วยความฉับไวไม่เกิน 2 ปีแล้วย่อมคืนอำนาจ คืน “ประชาธิปไตย” ให้ประชาชน เผด็จการทั้งหลาย กลุ่มพวกทหารที่ย่อมอ้วนอิ่มกันไปไม่น้อย จะต้องกลับกรมกอง และกลับบ้านได้แล้ว

เนื่องจากบ้านนี้เมืองนี้มันเริ่มแร้นแค้นทรุดโทรมลงอย่างต่อเนื่องจากการบริหารงานของพวกท่าน

 

ตรงกันข้ามจริงๆ กว่า 4 ปีที่ผ่านมานี้ได้กลับกลายเป็นคิดค้นวางแผนจัดตั้งผู้คน กฎกติกาเพื่อจะได้เดินทางต่อไปบนเส้นทางการเมือง แบบเอารัดเอาเปรียบนักการเมืองในทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กรอิสระ ใช้กฎหมายยุบองค์กรที่คิดว่าไม่ใช่พวก เว้นบางองค์กรที่สามารถจะเป็นทีมงานเครื่องไม้เครื่องมือในการจัดการกับฝ่ายตรงข้าม และเป็นประโยชน์สำหรับเชื่อมต่อท่ออำนาจ

สุดท้ายสิ่งที่ปรากฏชัดเจนคือ การก่อตั้งพรรค “พลังประชารัฐ” ชื่อเดียวกับโครงการรัฐบาลขึ้น เพื่อรองรับอดีต ส.ส.ที่ดูดกันมาลงลงสู้ในสนามเลือกตั้ง 2562 โดยใช้รองนายกฯ รัฐมนตรีในรัฐบาลมาทำงานการเมือง แบบไม่ต้องลาออกจากตำแหน่ง ดำเนินงานกันแบบดื้อด้านเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ อย่าง—

เหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่พยายามดำเนินการมาตั้งแต่ต้น วางแผนกันมากว่า 4 ปี เพื่อการสืบต่ออำนาจกระทั่งถึงระยะเวลานี้ เกี่ยวกับการ “เลือกตั้ง 2562” ทำท่าว่าจะไม่ราบเรียบ ทุกอย่างที่กำลังดำเนินไปล้วนเป็นเรื่องราวชวนให้อดคิดถึงการ “เลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2500” สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่ได้จริงๆ หวั่นว่าจะเกิดการโกงกันทุกรูปแบบ เกรงว่ากงล้อ “ประวัติศาสตร์” จะหมุนกลับมา

ในหมู่ประชาชนขณะนี้ได้แบ่งฝ่ายกันขึ้นโดยเรียกพรรคการเมืองที่สนับสนุน “เผด็จการ” เป็น “สีดำ” และซีกคนรัก “ประชาธิปไตย” คือ “สีขาว”

เพราะฉะนั้น พี่น้องประชาชนจะเลือก “สีดำ” หรือ “สีขาว” คิด พิจารณากันให้ดี