จรัญ พงษ์จีน : การเมืองแบบไทยๆ ก่อนถึงวันเลือกตั้ง 2562

จรัญ พงษ์จีน

“ศึกเลือกตั้ง” ตามโปรแกรมในวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย “ฉบับใหม่” พ.ศ.2560 ฉีกทิ้งของเก่ากระจุย แต่แกะกล่องแปลกใหม่ ดีงามน้ำลายไหล ไม่เคยได้ยินก็เฉพาะ “กฎ-กติกา” เท่านั้น

ส่วนอื่นๆ ก็ยังเป็นการเมืองแบบเก่าๆ “ตัวบุคคล” ที่จะมาเป็นผู้เล่นหลัก ก็วนเวียนอยู่แต่คนเก่า “ดูด” นักการเมือง อดีต ส.ส. ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นเสือข้ามห้วยมายกดุ้นแล้ว ยังนำ “พฤติกรรมเก่า” คือการจ้องทำลายล้าง สาดโคลนใส่กันทุกรูปแบบเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม ไม่มีอะไรสร้างสรรค์

“วิธีการ” ขุดกรุยุคโบร่ำโบราณมาห้ำหั่นกันเหมือนเดิม กลุ่มทุน หรือ “ท่อน้ำเลี้ยง” นำเงินมาลงขันช่วยเหลือสนับสนุน “พรรคการเมือง” ที่คาดหมายว่าจะเป็นผู้ชนะ “พรรค” นำเงินไปแจกจ่ายให้กับ “หัวหน้ามุ้ง” ส่งต่อไปยังผู้สมัคร เพื่อลำเลียงไปซื้อเสียง

เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่เยี่ยงนี้ เป็นมาแล้วไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เมื่อพรรคที่ชนะเลือกตั้งได้ฟอร์มรัฐบาล ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ก็ต้องทำงานตามใบสั่งหัวหน้ามุ้ง ทางพี่ใหญ่ ตอบสนองพรรค ต้นสังกัดคือพรรคไหลย้อนไปทดแทนบุญคุณกลุ่มทุน ที่เป็น “ท่อน้ำเลี้ยง”

“รัฐธรรมนูญ” เขียนมาดูดีเหมือน “คนอังกฤษ” แต่ภาคปฏิบัติ เขมรปนไทยชัดๆ

ขอเรียนให้ทราบว่า ตอนนี้โอกาสทองกลับมาเป็นของประชาชน ตาสีตาสากลับมามีราคาค่างวด มีความหมายขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะแค่แป๊บเดียวหน่อยหนึ่งก็ยังดี ที่ได้มีเลือกตั้ง

พลันที่บ้านเมืองเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้ง เสียงปี่เสียงกลองเริ่มจะดัง “คนการเมือง” ตบเท้าลงพื้นที่กันเป็นว่าเล่น กระไดไม่แห้ง คิวแน่นทุกวัน

ฝนตกฟ้าร้อง…ฟ้าผ่าก็ไม่กลัว ตอนนี้ชาวบ้านกลัวตกขบวนไม่ได้มาต้อนรับ “หัวหน้าพรรค” ที่ลงเยี่ยมพื้นที่ สถานการณ์ช่วงนี้ถือว่าดีเยี่ยมสำหรับชาวบ้าน พลาดไปเสียใจแย่

หัวหน้า-แกนนำทุกพรรคการเมือง ตะลุยพื้นที่ลงดูลาดเลา หยั่งเสียงผู้สมัคร ดังที่ตกเป็นข่าวลงภาคสนามกันวันละพรรคสองพรรค

ผู้สมัคร-หัวคะแนน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ออกแรงระดมชาวบ้านมาต้อนรับขับสู้ โชว์เพาฯ อวดสรรพคุณ เพื่อให้เข้าตาผู้บริหารพรรค หมายถึงจะไม่ได้โดนตัดตัวทิ้งกลางอากาศ

ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองดูดีมีน้ำยา ตัวช่วยสำคัญสุดคือ “มวลชน” ระดมมาชูป้าย ผูกข้อมือ ผ้าขาวม้าคาดเอว แล้วแต่ภาคนิยม

แกนนำท้องถิ่นบางคนสมองใส ไวกว่าลิง จัดตั้งกลุ่มมวลชน ไลน์กรุ๊ป พร้อมรับใช้บริการให้กับผู้สมัครทุกพรรคการเมือง พร้อมที่เป่านกหวีดเรียกรวมพลได้ทันท่วงที สนนราคาแล้วแต่สถานะ ถ้าระดับ “พรรคอะเสี่ย” ต้องแพงหน่อย หัวละสี่ซ้าห้าร้อยตามอัธยาศัย

หลายจังหวัดมีข่าวว่าเป็นมวลชนกลุ่มเก่า หน้าเดิมๆ เข้าคิวเวียนเทียนมาต้อนรับให้ทุกทั่นหัวหน้า ช่วงแบบนี้นาทีทองชาวบ้านชื่นชอบ ได้ทั้งสนุกดี แถมมีเงินใช้อีกต่างหาก

“ผลดี” สำหรับกองทัพมด ได้เงินหมุนเวียน “ผลดี” กับผู้สมัครคือ การเกณฑ์คนมาได้มากๆ ย่อมเข้าตา “ส่วนกลาง” ที่ลงไปวัดเรตติ้งในพื้นที่ “ค่าตัว” ก็ย่อมพุ่งพรวดแพงขึ้นตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตาม ศึกเลือกตั้งคาบนี้ “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะแชมป์เก่า น่าจะ “เสียเซลฟ์” มากที่สุด เพราะต้องเสียสมาชิกพรรคไปไม่ใช่น้อยๆ ตามข่าวระบุว่าสูงถึง 78 คน ที่น่าเก๊กซิมเป็นไหนๆ ในจำนวนนี้ พลิกขั้ว ไหลไปซบพรรคใหม่ที่ชื่อ “พลังประชารัฐ” สูงถึง 39 คน

อีกบางส่วนกระจัดกระจายไปสังกัดพรรคพันธมิตร และพรรคในเครือข่าย ทั้งเพื่อชาติ ไทยรักษาชาติ พรรคประชาชาติ

“พรรคประชาธิปัตย์” ก็เสียรังวัดไม่เบา เลือดไหลโกรกไปสังกัด “พลังประชารัฐ” จำนวน 14 คน ไป “ภูมิใจไทย” อีก 2-3 ราย และบางส่วนก็โดนกดปุ่มไปสังกัด “รวมพลังประชาชาติไทย” ที่มี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง

จึงมีการคาดหมายกันว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่เคยนำโด่ง ยึดหัวหาดกวาด ส.ส.แบบวันเวย์ 52 ที่นั่ง ได้ 50 ที่นั่ง แต่เลือกตั้งรอบใหม่ จากยอดเต็ม 50 เสียง จะได้ 30 ที่นั่งหรือไม่ ยังไม่มีใครกล้าคอนเฟิร์ม

“พรรคพลังประชารัฐ” ที่ถูกยกย่องว่าเป็น “ไอ้ตัวดูด” ที่ทรงพลังมากที่สุดในศึกเลือกตั้งงวดนี้ มีอดีต ส.ส.กลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ไหลไปหลอมรวมกันคับคั่ง ตามตัวเลขจาก “พรรคเพื่อไทย” 39 คน จาก “พรรคประชาธิปัตย์” 14 คน จาก “ภูมิใจไทย” 13 คน จาก “กลุ่มพลังชล” 8 คน “ดาวกระจาย” ที่มากระจุกตัวอยู่ที่ “พปชร.” ที่เป็นอดีตผู้แทนเก่า ทั้งจากการเลือกตั้งปี 2550 และปี 2554 ยอดทะลุกว่า 100 คน

แต่ดังที่ทราบ ตัวเลขประมาณการของการเลือกตั้งทุกๆ ครั้ง สถิติในเมืองไทยจะมีอดีต ส.ส.เก่าสอบตก 30 เปอร์เซ็นต์ทุกสมัย

ศึกเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ โหรการเมืองทำนายทายทักกันว่า ส.ส.เก่าจะกอดคอสอบตกมากกว่าสถิติเดิม คือเกินร้อยละ 30 และมีโอกาสสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์

เนื่องจากว่า การเลือกตั้งในประเทศไทยว่างเว้นมาเป็นเวลานานถึง 7 ปีเต็ม หากนับจากการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2554 ที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง

“เด็กรุ่นใหม่” ที่ไม่เคยเลือกตั้งในรอบ 7 ปี ที่บ้านเมืองเกิด “สุญญากาศ” ซึ่งเป็นสถิติที่สรุปไว้เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2561 ยอดผู้มีสิทธิเลือกตั้งราว 53 ล้านคน

จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ หากนับจากการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2554 ที่ “เกิดใหม่” และยังไม่ได้เลือกตั้งเลย แต่จะได้เลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 มีฐานตัวเลขสูงถึง 6.2 ล้านคน

“ตัวแปร” ทางการเมือง ที่มีส่วนชี้ขาดและมากคือคนกลุ่มนี้ คนที่ไม่เคยเลือกตั้งเลย

“พรรคไหน” จะหยิบชิ้นปลามันในสัดส่วนนี้ นี่คือคำตอบว่า จะเป็นผู้ชนะ