ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ชายตาหาข้าวเปลือก |
เผยแพร่ |
การเดินทางแต่ละครั้งให้ความหมายกับชีวิตเสมอค่ะ
ระยะหลังนี้ เดินทางแต่ญี่ปุ่น อินเดีย พม่า สังเกตได้ว่าเป็นประเทศที่มีพุทธศาสนายาวนานทั้งสิ้น
พอสนใจเรื่องธรรมะ ชีวิตมันก็จะน้อมนำไปในทางนั้น ยิ่งได้ฟังพุทธประวัติ เราก็อยากไปเห็นสถานที่จริง ให้เราได้มีกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป
ไม่ใช่แค่ทางธรรม แต่เป็นในทางโลกด้วย เพราะมีหลายครั้งที่ต้องใช้พลังมากเหลือเกินเวลาทำกิจการงานใหญ่ใดๆ
แต่เมื่อเราได้มองไปยังสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเสียสละเพื่อพวกเรา และต้องใช้ทั้งวิริยะ ขันติ ความเพียรพยายามขนาดไหน สิ่งที่เราเจอในชีวิตนั้นน้อยนัก
ดังนั้น จงอย่าอ่อนแรง ท้อถอย หรือเบื่อหน่ายไปเสียก่อน
สิ่งที่ตั้งใจไว้ในชีวิตคือการไปยัง 4 สังเวชนียสถาน ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนา นั่นคือ สถานที่เกิด ตรัสรู้ เผยแผ่ และปรินิพพาน
ซึ่งฉันไปมาแล้ว 2 ที่ นั่นก็คือ ที่ตรัสรู้ และเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก
แต่ถ้าคนเคยเดินทางไปที่อินเดียจะรู้ว่า การไปให้ครบทั้ง 4 ที่ ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ในที่สุดก็บุญพาวาสนาส่ง ฉันได้รับความเมตตาจากสมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จเอ่ยปากชวนฉันไปร่วมคณะบวชพระ 95 รูปในโครงการ วปก.20 หรือวิทยาลัยป้องกันกิเลส รุ่นที่ 20 ซึ่งจะเดินทางไปทั้ง 4 สังเวชนียสถานเลยทีเดียว
โอกาสดีๆ ในชีวิตเมื่อมาถึงแล้ว เราต้องพร้อมที่จะรับไว้ การเดินทางใช้เวลา 14 วัน ฉันจึงต้องเคลียร์คิวอัดรายการ และวางแผนสำหรับงานอื่นๆ โดยตั้งจิตอธิษฐานว่า ยังไงฉันก็ต้องได้มา
แล้วฉันก็ได้มาจริงๆ ค่ะ แบบสบายๆ ง่ายๆ ทุกอย่างเปิดทางโล่ง
ฉันไม่ได้คาดหวังว่าการเดินทางจากบ้านมา 2 อาทิตย์มาสู่ดินแดนพุทธภูมิจะเป็นอย่างไร ฉันจะได้อะไรกลับไป ฉันไม่ได้คิดไว้
แม้แต่เพื่อนที่เคยร่วมคณะมาก่อนจะลากลับไปทำงานระหว่างกลาง และเหลือฉันไว้ลำพัง ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
สำหรับฉันแล้ว อะไรก็ได้ ฉันพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ และนี่คือสิ่งที่ฉันไม่เคยทำอย่างแน่นอน
ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า ฉันจะพบกับอะไรบ้าง คนใหม่ๆ ที่ใหม่ๆ สิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยทำ ฉันอยากเรียนรู้จากตรงนั้น
ความมหัศจรรย์เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ก้าวย่างสู่อินเดีย
ฉันได้ไปสักการะจุดที่พระนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งตัดสินใจเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาและจะเสวยอาหารแล้ว พระนางสุชาดาก็ได้ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระพุทธองค์ (ซึ่งคิดว่าเป็นเทวดา เพราะก่อนหน้านี้ขอเทวดาไว้ว่า อยากได้สามีที่ดี ลูกชายที่ดี ก็สมหวัง จึงนำอาหารใส่ถาดทองไปถวาย แต่พบพระพุทธเจ้า เห็นรัศมีและคิดว่าเป็นเทวดา)
ซึ่งการถวายข้าวนี้นำมาซึ่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ในเวลาต่อมา
ฉันมีความตั้งใจเสมอว่า อยากจะทำอะไรเพื่อพระพุทธองค์บ้าง นอกเหนือจากเราจะตั้งใจเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้ว ทำทาน รักษาศีล หมั่นภาวนา เราอยากทำแบบพระนางสุชาดาบ้างจัง
ซึ่งในวันที่ไปนั่งตรงจุดนั้นก็ยังอธิษฐานแบบเดิม
ในวันรุ่งขึ้น ฉันและเพื่อนๆ ไปที่เจดีย์พุทธคยา และได้พบกับคนสำคัญของที่นั่น ทำให้เรามีโอกาสได้รู้ว่าทุกวันมีการปรุงข้าวมธุปายาสและถวายแด่องค์พระพุทธเมตตา ซึ่งสถานที่ประดิษฐานนั้นคือบริเวณที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ จึงได้สร้างเจดีย์พุทธคยาครอบไว้ และมีพระพุทธเมตตาเป็นองค์ประธานอยู่ตรงนั้น
ฉันเห็นวัตถุดิบที่ใส่ลงในข้าวมธุปายาสแล้วตกใจ เพราะคล้ายกับ Powerballs by Kalamare ที่ฉันคิดสูตรขึ้นมา แล้วทำมันขายมาตลอด 1 ปี คล้ายแบบ 90% เลยทีเดียว วิธีการก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่ต่างกันตรงเครื่องมือที่ใช้ให้ทันสมัยตามยุคเท่านั้น
แล้วฉันและเพื่อนก็ได้มีโอกาสอัญเชิญข้าวมธุปายาสไปถวายองค์พระพุทธเมตตาด้วยตัวเอง ความซาบซึ้งปีติในหัวใจจนขนลุกไปทั่วร่าง
ไม่มีอะไรบังเอิญใช่ไหม
เช้าอีกวัน เราไปที่เจดีย์พุทธคยาเช้ามากกกกกกก ตีสี่กว่าๆ จึงได้มีโอกาสไขกุญแจเปิดประตูที่เจดีย์ อีกทั้งยังได้ทำบุญใส่บาตรทองคำที่ตั้งไว้ตรงหน้าองค์พระพุทธเมตตาอีกด้วย
ถ้าบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันคิดไว้คุณจะเชื่อไหม ครั้งหนึ่งในชีวิตเราอยากใส่บาตรพระพุทธเจ้าสักครั้ง…
ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลที่ทำให้สิ่งที่ฉันคิดอธิษฐานเป็นจริง
ตลอดการอยู่ในดินแดนพุทธภูมิ ฉันจะตั้งใจทำสิ่งที่เป็นกิจวัตรหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยความเพียร ด้วยวินัย ด้วยใจที่เบิกบาน และมีสติอยู่เสมอ
และกลับไปฉันจะเป็นพุทธศาสนิกชนให้ดีที่สุด แบ่งเบางานพระพุทธองค์ สืบทอดศาสนาด้วยความรักและซาบซึ้งหมดหัวใจค่ะ
อนุโมทนาบุญกับผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ ทริปนี้เพิ่งเริ่ม รออ่านตอนต่อไปสัปดาห์หน้าค่ะ