ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง |
เผยแพร่ |
สมุนไพรเพื่อสุขภาพ /โครงการสมุนไพรเพื่อการพึงพาตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org
กระท่อม-กัญชาเป็นยาวิเศษหรือยาเสพติดร้ายแรงในวัฒนธรรมไทย (1)
มีอาจารย์ฝรั่งชาวอเมริกันที่เป็นนักภาษาศาสตร์ระดับโลกคนหนึ่งชื่อ ดร.วิลเลียม เจ. เกดนีย์ เคยกล่าวว่า เรื่องราวของวัฒนธรรมไทยทั้งหมดอยู่ในเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน”
เกดนีย์คือใคร คนไทยเดี๋ยวนี้คงไม่รู้จัก
แต่ถ้าเอ่ยชื่อจิตร ภูมิศักดิ์ คนไทยย่อมรู้จักบ้าง
เกดนีย์คนนี้แหละเป็นผู้เคยดูแลอุปถัมภ์จิตร ภูมิศักดิ์ ในช่วงที่เขามาสอนหนังสือและทำวิจัยด้านไทยคดีที่เมืองไทยอยู่นาน จนได้ผู้หญิงไทยไปเป็นพจนานุกรมฉบับแนบกายกลับอเมริกาไปด้วย ฮา!
เรื่องราวของกระท่อม-กัญชาก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวไทยและทหารไทยที่สอดแทรกอยู่มากมายในวรรณกรรมประจำชาติเรื่องขุนช้างขุนแผน เช่น ตอนขุนแผนประชุมพลยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่
“ครานั้นขุนแผนแสนศักดา ดูท้องฟ้าเห็นจำรัสรัศมี
สบยามตามตำราว่าฤกษ์ดี สั่งให้ตีฆ้องชัยไว้เดโช
ยกจากวัดใหม่ชัยชุมพล พวกพหลพร้อมพรั่งตั้งโห่
พระสงฆ์ส่งสวดชยันโต ออกทุ่งโพธิ์สามต้นขับพลมา
โห่ร้องฆ้องลั่นมาหึ่งหึ่ง นายจันสามพันตึงเป็นกองหน้า
กองหลังสีอาดราชอาญา พวกทหารสามสิบห้าต่างคลาไคล
บ้างคอนกระสอบหอบกัญชา ตุ้งก่าใส่ย่ามตามเหงื่อไหล
บ้างเหล้าใส่กระบอกหอกคอนไป ล้าเมื่อไรใส่อึกไม่อื้ออึง
บ้างห่อใบกระท่อมตะพายแล่ง เงี่ยนยาหน้าแห้งตะแคงขึง
ถุนกระท่อมในห่อพอตึงตึง ค่อยมีแรงเดินดึ่งถึงเพื่อนกันฯ”
จะเห็นได้ว่ากองทัพไทยไม่ใช่เดินด้วยท้องเท่านั้น แต่ต้องเดินด้วยกระท่อม-กัญชาด้วยนะ อิ อิ… เรียกว่า “คอนกระสอบหอบกัญชา…ตะพ่ายใบกระท่อม” ชยันโตโห่เอาฤกษ์เอาชัยยกทัพออกมาจากวัดใหม่ชัยชุมพลกันเลย
หน้าที่ของใบกระท่อมในกองทัพนั้นชัดเจนอยู่แล้วคือ ช่วยให้พลทหารมีเรี่ยวแรงเดินกลางแดดร้อนๆ เป็นกระบวนทัพไม่แตกแถวหรือทิ้งช่วงกัน ดังกลอนว่า “ถุนกระท่อมในห่อพอตึงตึง ค่อยมีแรงเดินดึ่งถึงเพื่อนกัน”
คำว่า “ถุน” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง “เสพพอแก้ขัด” ไม่ได้เสพเอาจริงเอาจัง ซึ่งถ้าไม่ได้ “ถุนกระท่อม” เดินทัพ มีหวังหัวแถวกับหางแถวคงไปกันคนละทิศคนละทาง ฮา! ส่วนหน้าที่ของกัญชา ก็ตอนหยุดพักพลเสพคลายเครียดที่เหนื่อยล้าเดินทัพมาทั้งวัน
“ขุนแผนก็สั่งให้หยุดพัก ที่ล้าเลื่อยเมื่อยหนักก็นอนสลบ
บรรดาพวกพหลพลรบ จุดคบกองไฟไว้เป็นวง
ลางคนหาเขียงหั่นกัญชา นั่งชักตุ้งก่าจนคอก่ง
บ้างมีแต่กัญชามานั่งลง ผลัดกันหั่นส่งใส่ไฟโพลง
ที่ไม่มีขอซื้อสามมื้อสลึง พอส่งถึงรับหั่นควันโขมง
อยากหวานเมางวงล้วงกระโปร่ง บ้างโก้งโค้งค้นหาพุทรากวน”
นี่ละครับชีวิตทหารไทยย้อนยุค ซึ่งหาดูได้จากภาพทหารลิงดูดบ้องกัญชาตามฝาผนังวัดพระแก้ว แต่ในเรื่องขุนช้างขุนแผน อุปกรณ์เสพกัญชาคลาสสิคกว่า คือเป็น “ตุ้งก่า” หรือหม้อสูบกัญชาของแขก อย่างแขกเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์ในเรื่อง “ระเด่นลันได” ซึ่งนางประแดะคอยจุดชุดกัญชาที่เป็น “หม้อตุ้งก่า” ถวายผัว ดังกลอนว่า
“แล้วเชิญหม้อตุ้งก่าออกมาตั้ง นางนั่งเป่าชุดจุดถวาย
ทรงศักดิ์ชักพลางทางยิ้มพราย โฉมฉายควั่นอ้อยคอยแก้คอ”
ข้อสังเกตในที่นี้คือ กัญชาคู่กับของหวาน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะสูบกัญชาเพลินจนขาดน้ำตาล แล้วแต่ว่าจะสะดวกของหวานแบบไหน จะเป็นอ้อยหรือพุทรากวนก็ไม่เกี่ยง ถ้าสมัยนี้ก็อาจจะใช้ลูกอมจูปาจุ๊ปส์หรือช็อกโกแลตแทนก็ได้ ฮา
แต่กัญชาไม่ใช่ว่าจะเสพติดกันง่ายๆ เพราะหลายคนก็คงไม่ชอบ เช่น มีบรรยายไว้ตอนพลายชุมพลจับเสน่ห์ โดยปลอมตัวเป็นแขกชวากับจหมื่นศรีไปล่อจับเถรขวาดที่ทำเสน่ห์พลายงาม
แผนขั้นแรกคือ ประเคนหม้อตุ้งก่าจุดกัญชาถวายพระ กะมอมกัญชาก่อน แต่พระแสบคอไม่เล่นด้วย
“สองแขกขยับจับตุ้งก่า จ้าหลิ่มยัดกัญชาไฟจุดเข้า
สูบคนละจ้าหลิ่มทำยิ้มเมา เถรเฒ่าว่าอะไรข้างในดัง
สองแขกว่าข้างในนั้นใส่น้ำ เถรขวาดว่ามันทำเป็นอีฉัง
กูจะขอลองรสหมดหรือยัง หยิบไฟเก้กังมาทันใด
สองแขกก็ยัดกัญชาส่ง เถรชักคอก่งไม่ทนได้
แสบคอเป็นจะตายหงายหน้าไป กูไม่เอาแล้วอย่าส่งมา”
พอแผนขั้นแรกคือมอมกัญชาจ้าหลิ่ม (พวยใส่ใบกัญชา) ไม่สำเร็จ แผนขั้นสอง คือมอมยาฝิ่น ปรากฏว่าเถรขวาดติดฝิ่นงอมแงม เผลอคายความลับอย่างลืมตัว
ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมยาเสพติดในวรรณกรรมประจำชาติเรื่องนี้บอกเราว่า กระท่อม-กัญชา เสพติดยากกว่าติดฝิ่นกินเหล้าหรือติดหมาก และบุหรี่เสียอีก
มีตัวอย่างวรรณกรรมสะท้อนสังคมไทยให้เห็นว่าติดหมากขนาดไหน แต่ไม่ได้หมายว่า เหล้า กัญชา ยาฝิ่นเป็นของดี ตอนหน้ามาติดตามนะ