วิเคราะห์ : นับถอยหลัง ‘บิ๊กตู่’ เปิดหน้า ใกล้เข้ามา ‘บิ๊กป้อม’ เปิดไพ่ วัดอุณหภูมิกองทัพก่อนเลือกตั้ง

นับถอยหลัง ‘บิ๊กตู่’ เปิดหน้า ใกล้เข้ามา ‘บิ๊กป้อม’ เปิดไพ่

วัดอุณหภูมิกองทัพก่อนเลือกตั้ง กับมรสุมถาโถมทัพเรือ ‘จอว์สลือ’ ฝ่าคลื่นลมแรง

 

แม้จะเกิดข่าวสะพัดว่า จะมีการเลือกตั้งออกไปในเดือนพฤษภาคม 2562 ก็ตาม แต่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ก็ตอกย้ำแล้วว่า “ผมจะต้องรักษาสถานการณ์ไว้ให้ได้ เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง และพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ในโอกาสต่อไป ที่สุดแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ ลงมา”

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ได้ตอกย้ำว่าจะเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 อีกก็ตาม แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า นั่นเป็นวันเลือกตั้ง

เว้นแต่ว่า จะมีเหตุสุดวิสัย หรืออยู่เหนือการควบคุม หรือมีการสร้างสถานการณ์ มีการ “ตุกติก” จนทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปอีก 2-3 เดือน เพื่อยื้อเวลาอะไรบางอย่าง

แต่กระนั้น ประเทศไทยไม่อาจหนีการเลือกตั้งไปได้ ยกเว้นว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใดก็ตาม แต่ทว่า พระราชพิธีสำคัญรออยู่

จึงเป็นหน้าที่ของ คสช.ในฐานะที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในประเทศ ที่มีบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ต้องดูแล

และมีบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม คุมในภาพรวมในนามรัฐบาล

แม้ พล.อ.ประวิตรจะบอกว่า “ไม่มีปัญหาอะไร เอาอยู่มา 4-5 ปีแล้ว” ก็ตาม

แต่พบว่า คสช.และฝ่ายความมั่นคง ดูจะให้ความสำคัญในการติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มสหพันธรัฐไทอย่างมาก จนถึงขั้นมีการเชิญตัวจากอีสานและหลายจังหวัดมาพูดคุย สอบถาม แต่ยังไม่ได้ดำเนินคดีอะไร

รวมทั้งความพยายามในการรื้อฟื้นหมู่บ้านประชาธิปไตย คนเสื้อแดง ในภาคอีสาน

ที่ไปๆ มาๆ เหล่านี้อาจจะกลายเป็นข้ออ้างในการสร้างสถานการณ์ในอนาคตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดขึ้น

แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องเตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมีขึ้นเมื่อใด ในเมื่อประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่ไม่ได้ลงเลือกตั้งก็ตาม แต่ก็กระโดดลงสู่สนามการเมืองเต็มๆ จากการมีทีท่าแสดงไมตรีที่พร้อมจะรับเทียบเชิญจากพรรคพลังประชารัฐให้เป็นนายกรัฐมนตรี

พล.อ.ประยุทธ์เตรียมพร้อมด้วยการปรับเปลี่ยนตนเอง ด้วยการไม่อารมณ์เสีย ไม่โมโห และให้สัมภาษณ์น้อยลง และพูดประเด็นทางการเมืองอย่างระมัดระวัง

“ผมต้องเตือนตัวเองในการพูดอะไรก็ต้องระวัง โดยเฉพาะเรื่องการเมือง เพราะไม่ต้องการให้นำคำพูดผมไปบิดเบือน พูดอะไรก็เป็นประเด็นไปหมด อาจทำลายความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล ไม่อยากให้การเมืองมามีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

อันเป็นการสะท้อนว่า จะไม่ลาออกจากการเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช. และจะทำหน้าที่ในฐานะนายกฯ ไปตามปกติ แม้ อ.วิษณุ เครืองาม จะเตือนให้ระวัง ว่าจะกลายเป็นการหาเสียงก็ตาม

“จะให้ผมนอนอยู่บ้านเฉยๆ หรือ รัฐบาลก็คือรัฐบาล การเมืองก็คือการเมือง อย่ามาโยงกัน” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

โดยยังมีกำหนดลงพื้นที่ไปตรวจราชการ หรือ ครม.สัญจรต่อไป แต่ได้เตือนให้ 4 รัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ต้องระวังการทำหน้าที่ อันเป็นการสะท้อนอีกว่า 4 รัฐมนตรีก็ไม่ต้องลาออก แม้จะเคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่ก็มีการกลับมา ท่องว่า กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ลาออก

ทั้งนี้เพราะเกรงว่า หากลาออกแล้ว จะเป็นการกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ที่จะเป็นนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ ต้องลาออกไปด้วย

แต่เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และพรรคพลังประชารัฐ ถูกมองว่าเป็นภาระของ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ในการ “ดีล” และจัดการให้ทั้งหมด รวมทั้งการสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ให้พรรคด้วย

หลังจากที่นักการเมืองกลุ่มสามมิตรปูดว่า ได้มาคุยกับ พล.อ.ประวิตร ทั้งการสู้ศึกเลือกตั้งและแผนการทำงานต่างๆ ที่บ้าน ร.1 รอ. เป็นประจำ

ในขณะที่ พล.อ.ประวิตรปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เคยเจรจากับนักการเมืองคนใด และไม่เกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐ

กล่าวกันว่า เป็นภารกิจสำคัญของพี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี ที่จะทำให้น้องรักได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้กี่ที่นั่ง แต่หากร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้จำนวน ส.ส.มากกว่า ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค กับ พล.อ.ประยุทธ์ ใครจะเป็นนายกฯ นายอภิสิทธิ์จะยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ หรือไม่

ซึ่งอาจจะเกี่ยวโยงกับการที่ พล.อ.ประวิตรมีทีท่าที่ดี และหยิบยื่นไมตรี ด้วยการประกาศว่า พร้อมคุยกับ “นายกฯ อภิสิทธิ์” เรียกอย่างให้เกียรติก็เป็นได้

ใกล้เวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมทั้ง พล.อ.ประวิตร จะต้องเปิดหน้าในทางการเมือง แบบไม่ต้องกั๊ก อำพรางใดๆ กันอีกแล้ว

แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่า ณ เบื้องหน้านั้น มีกับดัก หลุมพรางของฝ่ายใดซ่อนอยู่ระหว่างเส้นทางสู่การเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม

 

เช่นเดียวกับที่กองทัพเรือ ท่ามกลางการเมืองที่คุกรุ่นจากการสู้ศึกเลือกตั้ง แถมทั้งกองทัพถูกจับตามองว่าจะเป็นกองหนุน พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. แถมทั้ง ผบ.เหล่าทัพก็เป็นสมาชิก คสช.นั้น

“บิ๊กลือ” พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. กำลังโดนมรสุมถาโถม หลังจากขึ้นมาเป็นแม่ทัพเรือ ที่เข้มงวด เด็ดขาด และออกแนวดุเฮี้ยบ ได้แค่ 2 เดือนเศษ

แต่ไม่ใช่เรื่องเกินคาดสำหรับ พล.ร.อ.ลือชัย เพราะกระแสต้านมีมาตั้งแต่เขายังเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้ ผบ.ทร.อยู่เลยด้วยซ้ำ

เพราะสิ่งที่นายทหารเรือหวาดหวั่น มันได้เกิดขึ้นแล้ว…

ด้วยความเป็นนายทหารที่มาดมั่น และมีความมั่นใจในตัวเองสูง เขาจึงเดินหน้าผ่าตัดกองทัพเรือใหม่ ตามที่เคยได้คิดไว้ ด้วยม็อตโต้ “หยุดสิ่งเลวร้ายในอดีต เริ่มสิ่งที่ดีงาม วัฒนาสถาวร”

ทั้งการยุบ “ศูนย์ฝึกทหารใหม่” แล้วให้แต่ละหน่วยฝึกทหารใหม่ ทหารเกณฑ์กันเอง เช่นเดียวกับของกองทัพบก เพราะ พล.ร.อ.ลือชัยมองว่า มีเรื่องของผลประโยชน์ แต่ก็ทำให้กำลังพลจำนวนมากเดือดร้อน ต้องย้ายหน่วย ชีวิตเปลี่ยน

ในขณะเดียวกัน ก็ไปตั้งกรมรบพิเศษที่ 2 ให้หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) ของหน่วยซีล เพราะเห็นว่า กองทัพเรือมีความจำเป็นต้องใช้หน่วยรบพิเศษมากขึ้น

ด้วยรู้กันดีว่า พล.ร.อ.ลือชัยชอบแนวบู๊ เพราะแม้ตนเองจะเป็นพรรคนาวิน เป็นชาวปากเรือ แต่ก็เคยไปสมัครเรียนหลักสูตรมนุษย์กบ นักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือหน่วยซีลมาแล้ว แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะเกิดอาการหูทะลุจากการฝึกดำน้ำ จนต้องออกจากการฝึกเสียก่อน

อีกทั้งการที่เป็นนักวิ่งมาราธอน และนักไตรกีฬาอยู่แล้ว จนทำให้ พล.ร.อ.ลือชัยจัดการแข่งขัน “ไตรกีฬา นาวีเฉลิมพระเกียรติ เดอะซีรี่ส์” ขึ้น ถึง 5 สนาม และกำหนดให้ ผบ.หน่วย ระดับผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับการเรือ และ ผบ.หน่วย ระดับนายพล ต้องลงแข่งด้วย

จนนำมาซึ่งการต้องฟิตร่างกายและซ้อม ทั้งว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และวิ่งกันยกใหญ่

คนที่ชอบการออกกำลังกาย และมองว่าเป็นสิ่งท้าทาย และเห็นพ้องกับ พล.ร.อ.ลือชัย ที่ต้องการทำให้ ผบ.หน่วยมีความเข้มแข็ง แข็งแรง มีความเป็นผู้นำ ก็พากันฟิตซ้อมตัวเอง

แต่คนที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะด้วยรูปร่าง และพฤติกรรมส่วนตัว ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ก็จะไม่ค่อยแฮปปี้

แถมทั้งกำลังพลบางส่วน ที่ต้องลงแข่งในนามหน่วย ประเภททีม โดยที่ตัวเองไม่พร้อม

จนเป็นที่มาการร้องเรียนสื่อว่า ทำให้กำลังพลเดือดร้อน จากการจ่ายค่าสมัครลงแข่งสนามละ 2,500 บาท และการหาจักรยานอย่างดีเพื่อมาแข่งขัน รวมทั้งอ้างว่า ทำให้เสียเวลาการทำงาน และไม่ควรต้องบังคับให้ลงแข่ง ควรเป็นระบบสมัครใจมากกว่า

ทั้งๆ ที่ตามหลักการแล้ว ผบ.หน่วยจะต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าสมัครของกำลังพลในทีม ที่ลงในนามหน่วย รวมทั้งการจัดหาจักรยานมาใช้ในการแข่งขัน

บางเสียงห่วงไปถึงการแข่งในสนามต่างจังหวัด ที่แต่ละหน่วยจะต้องมีการเดินทาง ใช้รถลาม้าช้าง งบประมาณต่างๆ อีกไม่น้อย

แต่แล้วกระแสยิ่งถาโถมใส่ พล.ร.อ.ลือชัย เมื่อเกิดการสูญเสียชีวิตในการแข่งขันไตรกีฬาฯ สนามแรกที่สัตหีบ เมื่อ 16 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา แม้จะเกิดจากหัวใจวาย ทั้งๆ ที่เป็นนักกีฬา แข็งแรง และผ่านการตรวจร่างกายแล้วก็ตาม

แต่ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และกดดันให้มีการยกเลิกการแข่งขันในอีก 4 สนามปีหน้า คือ ที่หน่วยเรือรักษาความสงบตามแม่น้ำโขง (นรข.) เชียงราย ทัพเรือภาคที่ 2 สงขลา ทัพเรือภาคที่ 3 ภูเก็ต และนาวิกโยธิน ที่สัตหีบ

เพราะไม่ใช่มีแค่นาวาโท ระดับผู้บังคับกองพันหน่วยรบ เสียชีวิต แต่มีกำลังพลและคนที่เข้าแข่งขันต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาลอีกหลายราย ทั้งที่เกิดจากอุบัติเหตุ และเกิดจากสุขภาพร่างกาย

แต่ พล.ร.อ.ลือชัย ซึ่งลงแข่งระยะ Sprint คือ ว่ายน้ำ 750 เมตร ปั่นจักรยาน 20 ก.ม. และวิ่ง 5 ก.ม.ด้วย แบบผ่านฉลุย และย้ำมาเสมอว่า เมื่อเราสั่งให้ ผบ.หน่วยลงแข่ง ผบ.ทร.ก็ต้องลงแข่งด้วย ทั้ง 5 สนาม

“ไม่ยกเลิก เราจะมีการแข่งขันในอีก 4 สนามในปีหน้า ต่อจนจบ เพราะผมเชื่อว่ากำลังพลส่วนใหญ่ของ ทร.เข้าใจและสนับสนุน” พล.ร.อ.ลือชัยยืนยัน

ส่วนการปล่อยข่าวโจมตีนั้น พล.ร.อ.ลือชัยยืนยันว่า ไม่ตอบโต้ใดๆ ขอให้ใช้วิจารณญาณ เพราะนโยบายต่างๆ นั้น กำลังพลใน ทร.ส่วนใหญ่ชื่นชม ชื่นชอบ

ส่วนเสียงวิจารณ์ที่ว่า ผลของการแข่งขัน จะมีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายด้วยนั้น พล.ร.อ.ลือชัยยืนยันตั้งแต่แรกแล้วว่า จะไม่เอามาพิจารณาในการแต่งตั้งโยกย้าย แต่ที่จะดูคือ การมีส่วนร่วมหรือไม่เท่านั้น

“ผมยังมีกำลังใจที่มุ่งมั่นที่จะทำเพื่อส่วนรวม เพื่อเกียรติยศและชื่อเสียงของกองทัพเรือต่อไป” พล.ร.อ.ลือชัยกล่าว

 

แต่คลื่นลมในกองทัพเรือ ยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังเป็นที่โจษขานกันถึงการเป็น ผบ.ทร.ที่มีความเชื่อเรื่องโชคลาง พิธีกรรมต่างๆ อย่างมาก จนทำให้เกิดข่าวร่ำลือใน ทร.มากมาย ทั้งเรื่องจริงและเรื่องเสริมแต่งให้โอเวอร์

ไม่แค่นั้น ดูเหมือนคลื่นลมในกองทัพเรือยังระอุไปถึงกระทรวงกลาโหม หลังมีข่าวสะพัดว่า พล.ร.อ.ลือชัยไม่ลงรอยกับบิ๊กในกลาโหมระดับผู้บังคับบัญชา เหตุเพราะไม่ได้เชิญไปร่วมงานใหญ่ของ ทร.ในช่วงที่ผ่านมา แต่บิ๊กลือก็ขอโทษไปแล้ว เพราะตกหล่น

ที่สำคัญกว่านั้น มีคนไปเล่าเรื่องต่างๆ ให้ พล.อ.ประวิตรรับรู้ด้วย แต่ พล.อ.ประวิตรก็ยังไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ เพราะเป็นเรื่องภายใน

แต่ก็ทำให้ทหารในกองทัพเรือจับตามองกันต่อไปว่า พล.ร.อ.ลือชัยจะโดนมรสุมใดอีกหรือไม่ โดยเฉพาะคลื่นลมใน ทร.เอง ที่เกิดจากความเด็ดขาด เอาจริง

จึงไม่แปลกที่วันแรกที่รับตำแหน่ง ผบ.ทร. พล.ร.อ.ลือชัยจะออกตัวไว้ว่า ไม่รู้ว่าผมจะได้เป็น ผบ.ทร. 2 ปีครบเทอม หรือว่าได้เป็นแค่ปีเดียว เพราะเป็นทหารอาชีพ จะให้ไปอยู่ไหนก็พร้อม

 

ด้วยสไตล์ถึงลูกถึงคน พูดจาตรงไปตรงมา แบบไม่ค่อยเกรงใจใคร ด้วยความมั่นใจในตัวเองสูง ในเส้นทางที่เดินมา และการเป็นนายทหารเรือที่มีความสามารถพิเศษในหลายด้าน ทั้งกีฬา และเป็นนักวิจัย และผ่านตำแหน่งสำคัญมาตลอด จึงทำให้ พล.ร.อ.ลือชัยรู้ตัวดีว่า ตนเองจะพบเจอกับอะไร เมื่อขึ้นมาเป็น ผบ.ทร.

นั่นจึงทำให้เขายังคงต้องมีความเชื่อ และถือเคล็ดในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะหยิบจับหรือทำอะไร เพราะยังรู้ว่ามีคนจ้องอยู่นั่นเอง

ยิ่งในยุคนี้ด้วยแล้ว แม้ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ จะเป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม แต่ทว่าบิ๊กปุ้ม พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ  สมาชิก สนช. น้องชาย ก็เป็นที่เคารพรักของนายทหารในกองทัพเรือ มีอะไรก็จะคุยกับบิ๊กปุ้มก่อน เพื่อที่จะไปคุยกับบิ๊กป้อมให้

ความเป็นมาและเป็นไปหลายอย่างใน ทร.ในยุคนี้ จึงไม่อาจมองข้ามบทบาทของ พล.ร.อ.ศิษฐวัชรด้วย

แต่ไม่ใช่แค่ที่ ทร.เท่านั้น แต่ในกองทัพบกก็เกิดความอ่อนไหวด้านความรู้สึกขึ้น จากการแบ่งทหารออกเป็นพวกเป็นฝ่าย อันเป็นไปตามสถานการณ์บ้านเมือง และการช่วงเปลี่ยนผ่าน

อีกทั้งมีการคาดการณ์กันว่า ในอนาคต นายทหารกลุ่มนั้น สายนี้เท่านั้นที่จะได้ตำแหน่งสำคัญ หรือเป็นแม่ทัพ หรือ ผบ.ทบ. จนทำให้เกิดความท้อแท้ ไม่มีความหวังในการรับราชการ

      การเมืองที่ร้อนแรง และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้ ประกอบกับรอยช้ำในใจเล็กๆ ของทหาร จึงเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหวยิ่ง