รู้จัก “โฟม พงศ์กวิน” อีกหนึ่งโฉมนักการเมืองหน้าใหม่ ตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ”

“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ห่างหายจากการเมืองไทยนานนับ 10 ปี ภายหลังพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกยุบ ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง กระทั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจจากรัฐบาลผู้น้อง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และรัฐบาลทหารขับเคลื่อนประเทศนานถึง 4 ปี จนจะมีการเลือกตั้งในเวลาอันใกล้

“สุริยะ” ปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะแกนหลักกลุ่มสามมิตร นำแนวร่วมไม่ว่าจะเป็น สมศักดิ์ เทพสุทิน, อนุชา นาคาศัย ซึ่งล้วนแล้วต่างเคยเป็นแกนนำพรรคไทยรักไทย มาฟอร์มทีม รวบรวมนักการเมืองทั้งระดับรัฐมนตรี ส.ส. ท้องถิ่น เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคการเมืองที่พร้อมเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ อีกสมัย

นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ “ธนาธร” อีกคนในตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” ตั้งพรรคอนาคตใหม่ ประกาศอยู่ฝ่ายตรงข้าม “บิ๊กตู่” และพรรคการเมืองที่สนับสนุน “บิ๊กตู่” และเป็นเวลาเดียวกับที่แว่วว่า “สุริยะ” ดึงอีกคนในตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” เข้าสู่สนามการเมือง

นั่นคือ “โฟม” พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ

“โฟม” คือลูกชายของ “โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเอก ธนาธร โดย “โฟม” คุณพ่อลูก 1 วัย 38 ปี รับหน้าที่ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอ็นจีเนียริงฯ (IEC) และประธานฝ่ายบริหารสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์ส

เมื่อเข้าสู่ถนนการเมือง “พงศ์กวิน” ลาออกจากผู้บริหาร เหลือเพียงตำแหน่งที่ปรึกษา

“มติชนสุดสัปดาห์” คุยกับโฟม “พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ”

“พงศ์กวิน” เล่าให้ฟังว่า “โกมล” ผู้เป็นพ่อ เลี้ยงดูเขาอย่างเข้มงวดเรื่องการเงิน พยายามให้เงินลูกไปโรงเรียนน้อยที่สุด เรียนชั้นประถมได้เงินวันละ 5 บาท มัธยมได้วันละ 20 บาท จึงใช้เงินอย่างประหยัดมาโดยตลอด

ส่วนตัวไม่เคยคิดเล่นการเมือง เพราะด้วยบุคลิกแล้วไม่ชอบสุงสิงกับใคร เป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบออกไปเจอผู้คนพลุกพล่าน ซึ่งขัดกับบุคลิกของนักการเมือง ที่จะต้องออกไปเจอผู้คนมากหน้าหลายตา

“มันเกิดจากการที่เราอยากทำให้บ้านเมืองดีขึ้น เพราะเมื่อตอนที่เราเป็นผู้ชม เราได้แค่นั่งบ่น เราไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าเราเป็นผู้เล่น เราจะสามารถทำอะไรให้บ้านเมืองได้ ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยได้คุยกับคุณอา (สุริยะ) ซึ่งเมื่อตัดสินใจ คุณอาก็บอกว่า เป็นเรื่องดีที่ผมจะเข้ามา ส่วนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารพรรค ผมก็ไม่ทราบว่าพรรคพิจารณาจากนามสกุลหรือเปล่า แต่มันประจวบเหมาะกับที่ทางพรรคต้องการคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยลงการเมือง แต่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ มาแล้ว”

“ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองว่าเป็นตัวแทนของคุณอาสุริยะ มันเป็นมุมมองของแต่ละคน เราไม่อาจปฏิเสธ แต่ผมไม่ได้คุยกับท่าน และท่านก็ไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ ท่านบอกแค่ว่าเรื่องการเมือง ไปเรียนรู้เอาเอง ซึ่งผมยอมรับว่ากังวลมาก เพราะโดยนิสัยแล้ว ผมเป็นคนชอบอยู่บ้าน ไม่ค่อยอยากออกไปเจอใคร ที่แล้วมา นักธุรกิจบางคนชวนไปกินข้าวผมยังไม่ไปเลย ซึ่งจะดูขัดกับการที่ต้องทำงานการเมือง ทำให้ตัดสินใจยาก”

สิ่งที่ “พงศ์กวิน” อยากทำเมื่อลงสนามการเมือง คือ การเพิ่มประสิทธิ์และลดต้นทุนในด้านต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ ทว่าในทางการเมืองก็มีความสำคัญ เมื่อเปรียบการโกงคือต้นทุน หากลดการโกงได้ ต้นทุนของประเทศไทยย่อมจะลดลงด้วย

ต้นทุนนี้ ยังหมายรวมถึงระบบการทำงานของข้าราชการที่ซ้ำซ้อนด้วย

“ผมคุยกับข้าราชการเขาบอกว่า บางเรื่องแม้จะถูกต้องแต่เขาไม่ทำให้ เพราะสุ่มเสี่ยงต่อความผิด สู้ไม่ทำอะไรดีกว่า ทั้งที่การไม่ทำอะไรนั้น คือการเสียโอกาสมากสำหรับประเทศ ผมว่าเวลามีความสำคัญ เมื่อไม่มีอะไรมาบังคับให้หน่วยงานต่างๆ ทำ ทุกคนก็จะเกียร์ว่าง เพราะป้องกันความเสี่ยงกับตัวเอง ผมจึงอยากช่วยปรับปรุงทั้งกฎหมาย และการทำงาน เพราะจริงๆ แล้วในแวดวงธุรกิจเขาบอกว่า ภาครัฐไม่ต้องทำอะไรให้ก็ได้ ขอแค่อย่ามาขัดแข้งขัดขาก็พอ”

บางกระแสบอกว่า “โฟม” เข้าพรรค พปชร. เพราะต้องการกู้ IEC ที่ประสบภาวะลำบาก จนถูกสั่งห้ามการซื้อขายหุ้นมาตั้งแต่ปี 2559 ต่อมามีการเพิ่มกรรมการ เพิ่มทุนจดทะเบียน ทว่านายทะเบียนบริษัทมหาชน กลับไม่รับการจดทะเบียนให้ เพราะผู้ถือหุ้นบางกลุ่มค้าน กระทั่งมีการยื่นเรื่องไปยัง “นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พาณิชย์ ที่มีหมวกอีกใบคือ “เลขาธิการพรรค พปชร.” ให้เพิกถอนคำสั่งไม่รับจดทะเบียน

แว่วว่าตอนนี้ IEC กลับมาขายหุ้นได้ตามปกติแล้ว

เขาปฏิเสธว่า “ถ้าเปิดพอร์ตหุ้นดูจะเห็นว่า ทุกวันนี้ IEC ก็ยังไม่สามารถขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ที่ขายได้คือขายนอกตลาด ซึ่งสามารถทำได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ IEC ยังขายหุ้นไม่ได้เหมือนเดิม ผมจึงไม่เข้าใจว่ามันแลกผลประโยชน์กันยังไง ส่วนท่านสนธิรัตน์ ผมก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่เคยคุยกันด้วย”

“พงศ์กวิน” ยังชี้แจงเหตุผลในการบริจาคเงินเข้าพรรค 5 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าคนอื่น ว่า เพราะขณะนี้มีเพียงกรรมการบริหารพรรคที่สามารถบริจาคเงินเข้าพรรคได้ ดังนั้น ในช่วงเริ่มต้นตั้งพรรค จึงอยากบริจาคเงินช่วยให้พรรคได้เดินหน้าต่อไป แม้ 5 ล้านจะดูเหมือนเยอะ แต่ “พงศ์กวิน” บอกว่า หากเปรียบกับภาคธุรกิจแล้ว 5 ล้านยังถือว่าน้อย เพราะโดยปกติเจ้าตัวก็บริจาคเงินด้านอื่นๆ เช่น การศึกษา อยู่แล้ว

“เมื่อเราเห็นว่าพรรคนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ ผมจึงมองว่าถ้าบริจาคแล้วความขัดแย้งหายไปได้จริง มันก็คุ้มค่า ผมชอบคอนเซ็ปต์ของพรรคนี้ ที่ไม่อยากเห็นคน 2 กลุ่มทะเลาะกัน ซึ่งถ้าผมไปอยู่ 2 พรรคใหญ่ที่แบ่งเป็น 2 ขั้ว สุดท้ายก็จะกลับมามีปัญหาอีก ผมไม่อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างนั้น”

“คือผมกลัวเหมือนกันนะครับ ที่บอกว่าการเมืองคืออำนาจและผลประโยชน์ ผมเป็นหน้าใหม่ ไม่อยากมีปัญหาเช่นนั้น ถ้าทุกคนเตือนผมได้ ย่อมเป็นเรื่องดี เพราะการตั้งต้น ทุกคนอยากทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อผ่านไป ด้วยอะไรหลายๆ อย่างจึงทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนไป ผมเองจะพยายามไม่เปลี่ยนไป”

สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “โฟม” มองไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหาย ทั้งยังชอบในความซื่อสัตย์ ทุ่มเททำงานเพื่อชาติ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องผิด หาก พปชร.จะชู “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกฯ อีกสมัย และไม่กังวลกระแสต้านทหารจะกระทบต่อความนิยมของพรรค เพราะนี่ไม่ใช่พรรคทหาร แม้ชู พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ ก็จะมีแค่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นเพียงอดีตทหาร

“คำถามคือ เป็นทหารแล้วลงเลือกตั้งไม่ได้เหรอ เป็นทหารแล้วไม่ดียังไง เมื่อก่อนวินมอ”ไซค์ ต้องจ่ายเงินให้ผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าหน้าที่รัฐ 500 บาทต่อเดือน วันนี้เขาไม่ต้องจ่าย นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลนี้ เช่น ด้านภาษี มรดก ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ออกมาเพื่อนำเงินจากคนรวยมาช่วยคนชั้นกลางและล่าง ผมว่าเป็นการดูดเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ผ่านโครงการ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น”

เรื่องที่หลายคนอยากรู้คือความสัมพันธ์ระหว่าง “โฟม พงศ์กวิน” กับ “เอก ธนาธร” ลูกพี่ลูกน้องตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” โดย “โฟม” ปูพื้นก่อนว่า ครอบครัวนี้ไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกันแบบ “กงสี” ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวไม่มีความใกล้ชิดกันมาก

“พงศ์กวิน” เล่าว่า ไม่บ่อยครั้งที่เขาเคยเจอธนาธร และอาจเจอกันบ้างเมื่อครั้งต่างคนต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวะ ธรรมศาสตร์ แต่ก็ไม่เคยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นใด เพราะไม่เคยคิดอยากเล่นการเมือง เช่นเดียวกับธนาธร ที่ไม่มีความคิดอยู่ในหัวเลยว่าจะต้องมาเล่นการเมือง

“อาจเป็นเพราะแต่ละคนมีแนวทางของตัวเอง อย่างผมไม่อยากเห็นปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก ส่วนพี่เอกอาจอยากให้ประเทศไทยเราก้าวไปทางทิศนี้ คือประชาธิปไตย ผมจึงมาอยู่พรรคนี้ ส่วนพี่เอกก็ไปตั้งพรรคนู้น ซึ่งไม่ได้ขัดแย้งกัน เป็นความชอบที่ต่างกันมากกว่า”

“สำหรับผมทางการเมือง ตอนนี้นับศูนย์ ซึ่งต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น เพราะมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน จึงต้องใช้เวลากับมันให้มากที่สุด ซึ่งทุกวันนี้ผมมีเวลาให้ลูกและภรรยาน้อยมาก แต่ก็พยายามใช้เวลาให้คุ้มค่า เพราะความจริงแล้วภรรยาผมห้ามเล่นการเมือง โดยบอกว่าอย่าลงเลย ไม่ดีหรอก ยังไงก็โดนต่อว่า เพราะไม่มีใครคิดว่าเราจะทำเพื่อคนอื่นหรอก แต่ผมมองว่าที่บ้านผมมีเงินทองพอสมควรแล้ว ไม่ลำบากอะไร คำถามคือเราได้ทำอะไรเพื่อส่วนรวมแล้วบ้าง ผมพยายามคุยกับภรรยาอย่างนี้ ภรรยาผมก็บอกว่าไม่ขัดแล้วกัน แต่ให้ระวังตัวด้วยนะ”

“พงศ์กวิน” จบการสนทนาอย่าง “เคอะเขิน” พร้อมออกตัวว่าพูดไม่เก่ง และคงขึ้นเวทีปราศรัยไม่ได้ เพราะเป็นคนพูดตรง