รู้จัก “คุณหมอลี่ลี่ สิริน” “นางฟ้าข้างสนาม” ผู้เยียวยาหัวใจชอกช้ำของแฟนบอลไทย

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 ปิดฉากลงพร้อมความโศกเศร้าและล้มเหลวของแชมป์เก่า ขุนพลช้างศึก “ทีมชาติไทย” ซึ่งพลาดท่าตกรอบรองชนะเลิศ หลังทำได้เพียงเสมอกับมาเลเซียทั้งสองนัด แต่ทีมเสือเหลืองทำได้ดีกว่าหากพิจารณาที่กฎยิงประตูทีมเยือน

เรื่องการประเมินผลงานของ “มิโลวาน ราเยวัช” หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเซอร์เบีย และการวิพากษ์วิจารณ์ฟอร์มของทีมชาติไทยที่ย่ำแย่ลงเกือบทุกชุด ในยุค “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คงจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

และอาจมี “จุดแตกหัก” อยู่ที่ผลงานของทีมชาติไทยชุดใหญ่ ซึ่งจะได้กำลังหลักที่ค้าแข้งในลีกต่างประเทศกลับมาลงสนามกันพร้อมหน้าแบบฟูลทีม ในศึกเอเชี่ยนคัพ 2019 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แต่ท่ามกลางหยาดน้ำตาและอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ ยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดพรายขึ้นข้างสนามราชมังคลากีฬาสถาน ในยามที่ขุนพลช้างศึกต้องลงสนามด้วยฐานะทีมเหย้า ต้อนรับการมาเยือนของคู่แข่งร่วมภูมิภาคอาเซียน

เป็น “รอยยิ้ม” อันเกิดจากเรื่องราวของ “นางฟ้าข้างสนาม” ที่มาปรากฏกายเป็นแพทย์ภาคสนามประจำการแข่งขันฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 ในประเทศไทย

ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง “ลี่ลี่-สิริน ไตรวุฒิพิพัฒน์กุล” คุณหมอคนสวยผู้ทำหน้าที่ดูแลนักเตะซึ่งได้รับบาดเจ็บระหว่างการแข่งขัน ร่วมกับทีมงานแพทย์ของแต่ละชาติที่ลงฟาดแข้งในศึกซูซูกิคัพ 2018

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักตัวตนและมุมคิดของเธอไปพร้อมๆ กัน

“คือหมอก็ทำหน้าที่ปกติอยู่ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน แต่วันนั้นมีช่างภาพมาถ่ายรูป แล้วเอาไปลงในเพจช้างศึก” คุณหมอสิรินเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลไทย

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้คุณหมอลี่ลี่เคยคว้าตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ พ.ศ.2555 และเคยผ่านเข้ารอบ 12 คนสุดท้ายบนเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2012 มาแล้วด้วย

เรียกได้ว่าทั้งสวยและเก่งครบเครื่องจริงๆ

“ปกติแล้วก็คือ หมอจะเป็นแพทย์สนามที่คอยดูแลนักเตะเวลาที่ลงแข่งขัน ทั้งการแข่งขันในประเทศและการแข่งขันระดับนานาชาติ ซึ่งหมอก็จะคอยดูแลนักเตะทั้งระหว่างซ้อมก่อนแข่งประมาณหนึ่งชั่วโมง รวมถึงช่วงที่ลงแข่งขันและหลังแข่งขัน

“นอกจากดูแลนักเตะแล้ว หมอก็จะดูแลแขกที่มาร่วมงานในวันนั้นด้วย”

คุณหมอสิรินยังเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่เคยเจอในสนาม ทั้งเคสที่รุนแรงไปจนถึงอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ

“เคสที่หนักๆ นะคะ ที่หมอเคยเจอคือ หัวกระแทกแล้วสลบไปเลย หรือว่าเข่าหลุดในสนาม รวมถึงอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลายก็เจอมาแล้ว ซึ่งเราก็จะเป็นคนประเมินว่าผู้ป่วยหนักแค่ไหน สามารถรักษา ณ ที่สนามได้หรือไม่ หรือว่าจะต้องส่งออกเพื่อที่จะรับการรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้นที่โรงพยาบาล”

คุณหมอสาวมาดทะมัดทะแมง ที่นอกจากจะทำงานกับทีมช้างศึกแล้ว ยังเคยดูแลนักกีฬาขี่ม้าโปโลด้วย บอกเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมา

ส่วนมุมมองต่อการรักษาอาการบาดเจ็บของนักฟุตบอลในปัจจุบัน คุณหมอสิรินบอกว่า ทุกอย่างค่อนข้างที่จะเป็นสากลมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทีมผู้ทำการรักษาจะต้องผ่านการอบรมจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า

ขณะเดียวกันก็จะมีทีมงานฟีฟ่ามาตรวจสอบการทำงานและให้ความรู้กับทีมแพทย์ของไทยอย่างไม่หยุดนิ่ง ถือเป็นเรื่องดีที่เราจะได้อัพเดตข้อมูลต่างๆ และยังส่งผลดีต่อวงการฟุตบอลไทยในภาพรวมด้วย

ไม่เพียงแค่นั้น หมอลี่ลี่ยังยอมรับว่าเธอเป็นแฟนคลับตัวยงของทีมชาติไทย ติดตามเชียร์บอลไทยมานานกว่า 4 ปีแล้ว

“จริงๆ แล้วที่บ้านดูบอลตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ ที่บ้านชื่นชอบคุณปิยะพงษ์ ผิวอ่อน (อดีตกองหน้าทีมชาติไทย) แต่ที่หมอเองดูบอลไทยก็จะเป็นช่วงที่คุณซิโก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) คุมทีมชาติไทยคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ปี 2014 ซึ่งมันเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนไทยกลับมาดูบอลอีกครั้ง

“ตอนที่คุณซิโก้คุมทีม เราเล่นเป็นระบบมากขึ้น ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่หมอกลับมาดูบอลไทย แล้วก็มีกำลังใจที่จะติดตามว่าแบบไปถึงไหนแล้ว ตั้งแต่นั้นมา” คุณหมอคนสวยเจ้าของความสูง 180 เซนติเมตรกล่าว

เมื่อถามว่าทีมชาติไทยยุคซิโก้ในปี 2014 กับยุคปัจจุบันภายใต้การคุมทีมของมิโลวาน ราเยวัช เฮดโค้ชชาวเซอร์เบีย มีการพัฒนาไปมากน้อยเพียงใด

คุณหมอลี่ลี่แสดงความคิดเห็น (ก่อนหน้าแมตช์รอบรองชนะเลิศระหว่างไทยกับมาเลเซีย) ว่า ตอนนี้ระบบทุกอย่างดูดีขึ้น มีทีมเวิร์กมากขึ้น มีการเล่นกันแบบสอดคล้องกัน เหมือนเป็นทีมเดียวกันมากขึ้น

“หมอคิดว่านักเตะทุกคนในตำแหน่งต่างๆ ต่างมีความสำคัญ คล้ายๆ กับทีมชาติในฟุตบอลโลก เราจะเห็นว่าแต่ละทีมไม่ได้มีใครเก่งคนเดียวแล้วจะพาทีมไปรอด”

“คือทุกคนจะต้องเก่งเหมือนๆ กัน ช่วยๆ กันได้ ไม่ต้องเก่งที่สุดคนเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้น หมออยากให้ทีมชาติไทยของเราเน้นความเป็นทีมเวิร์กมากที่สุด แล้วก็อย่าไปคิดว่านักเตะบางคนดัง บางคนไม่ดัง คือจริงๆ แล้วทุกคนต่างมีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมไปรอด” คุณหมอลี่ลี่ระบุ

ส่วนนักเตะไทยที่คุณหมอลี่ลี่ชื่นชอบคือ “เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์” ที่ตอนนี้กำลังค้าแข้งอยู่กับคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ในเจลีก ประเทศญี่ปุ่น

คุณหมอบอกว่า เจเป็นคนที่มีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะมีพรสวรรค์ แต่ก็พยายามฝึกหนัก เธอจึงอยากให้นักเตะทุกคนเอาชนาธิปเป็นแบบอย่าง

“มันเป็นเรื่องปกติที่ช่วงแรกเจก็อาจมีการปรับตัว เวลาที่ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ตอนนั้นหมอก็เอาใจช่วย จะเป็นยังไงรอดู ปรากฏว่าเขาทำให้ซัปโปโร จากที่เกือบตกชั้น กลายเป็นทีมที่มีลุ้นไปเล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก”

“แสดงให้เห็นว่าความพยายามของเจมันเจ๋ง มันได้ผล อีกเรื่องหนึ่งที่น่ารักคือ เจเอาเอกลักษณ์ของประเทศไทยไปด้วย เวลายิงประตูได้ สิ่งที่เขาทำคือยกมือไหว้แฟนบอล

“โอ้โห! คำขอบคุณของประเทศไทย มันยิ่งใหญ่มาก” คุณหมอลี่ลี่พูดไปยิ้มไป

ในการพูดคุยกันก่อนการตกรอบรองชนะเลิศของทีมชาติไทยในศึกซูซูกิคัพ 2018 หมอลี่ลี่บอกว่า ไม่ว่าขุนพลช้างศึกจะได้แชมป์หรือไม่ เธอเชื่อว่ากำลังใจจากแฟนบอลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ทีมประสบความสำเร็จ

“แฟนบอลก็อย่าเพิ่งหายกันไปไหนนะคะ จริงๆ คิดว่านักเตะเวลาอยู่ในสนาม มันมีแรงกดดัน และมีอะไรหลายๆ อย่างที่บางทีเราอาจจะไม่เคยรู้สึก ถ้าเรามาอยู่ในสนามเองจริงๆ เราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าเขาก็ได้ เพราะฉะนั้น หมอคิดว่า ในเมื่อเราตัดสินใจที่กลับมาเชียร์บอลไทยแล้ว พยายามเห็นใจพวกเขาด้วย

“สิ่งเดียวที่เราทำได้คือให้กำลังใจพวกเขาให้ดีที่สุด ถึงแม้เขาจะพลาด หรือเขาจะทำได้ดี เราก็คอยให้กำลังใจเขา นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”

นางฟ้าข้างสนามชื่อ “สิริน ไตรวุฒิพิพัฒน์กุล” กล่าวทิ้งท้าย