ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์/ MORTAL ENGINES

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

MORTAL ENGINES

‘ปฐมภาค’

 

กำกับการแสดง Christian Rivers

นำแสดง Robert Sheehan Hera Hilmar Hugo Weaving JihaeStephen Lang

 

จากตัวหนังสือในนวนิยายวัยรุ่นของฟิลิป รีส ชื่อเดียวกัน กลายมาเป็นภาพโลดแล่นบนจอใหญ่ ในแบบที่ดูทีท่าว่าจะต้องติดตามต่อไปอีกยาวอย่างน้อยก็ไตรภาคตามขนบนิยมปัจจุบัน

หนังเล่าเรื่องราวการต่อสู้ฝ่าฟันและผจญภัยของหนุ่มสาววัยรุ่นท่ามกลางภยันตรายจากจอมเผด็จการในโลกอนาคต ซึ่งไม่ใช่โลกอย่างที่เรารู้จักอีกแล้ว

จุดขายจุดใหญ่ของหนังน่าจะอยู่ที่การมีชื่อของปีเตอร์ แจ๊กสัน อยู่เบื้องหลังงานสร้างในฐานะโปรดิวเซอร์ พร้อมด้วยชื่อเสียงของไตรภาคทั้งชุด Lord of the Rings และ Hobbits เป็นประกันในเรื่องการเนรมิตตัวหนังสือจากโลกในบรรณพิภพให้เป็นภาพอันอลังการงานสร้างบนจอใหญ่ ด้วยจินตนาการอันสวยงามบรรเจิดที่ภาพยนตร์ปัจจุบันสรรค์สามารถเนรมิตภาพได้ทุกรูปแบบ

เหมือนอย่างที่เรียกด้วยสำนวนว่า “ท้องฟ้าคือขอบเขต” ซึ่งอันที่จริงหมายถึงว่าไร้ขอบเขตนั่นเอง

มีหนังไตรภาคหลายชุดที่ผู้เขียนดูภาคแรกแล้ว กระตุ้นต่อมอยากรู้จนขี้เกียจรอดูภาคต่อไปอีกนับเดือนนับปี และรีบขวนขวายหาหนังสือมาอ่านทันทีหลังจากนั้น เนื่องจากเดี๋ยวนี้ผู้เขียนอ่านหนังสือจากเครื่องอ่านหนังสือ Kindle เลยซื้อและดาวน์โหลดได้สะดวกรวดเร็วเพียงปลายนิ้วกด

แต่หนังชุดนี้ไม่ใช่หนึ่งในไตรภาคพวกนั้น

หนังไตรภาคผจญภัยในโลกอนาคตทำนองนี้เท่าที่จำได้ดีคือ The Hunger Games, Divergent และ The Maze Runners

ไตรภาคสองชุดแรกอ่านสนุกแบบวางไม่ลง ชวนให้ติดตามดูหนังอย่างใจจดใจจ่อ และหนังก็ทำได้ไม่ผิดหวังเหมือนกัน

มีแต่เรื่องหลังเท่านั้นที่อ่านจืดชืดมากจนเลิกติดตามดูหนังไปเลย

 

เพราะงั้นขอบอกเสียก่อนเลยว่า ปฐมภาคของ Mortal Engines แม้จะมีปีเตอร์ แจ๊กสัน อยู่เบื้องหลังงานสร้าง แต่ดูแล้วไม่ชวนให้นึกอยากติดตามดูภาคต่อไป แถมไม่เกิดความนึกอยากซื้อหนังสือมาอ่านให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลยด้วยค่ะ

เรื่องราวดูดาดๆ แห้งแล้ง จืดชืด วนเวียนซ้ำซาก ไม่ให้อะไรใหม่หรือน่าสนใจ

ตัวละครก็ทื่อๆ เรียบๆ กลวงๆ ไม่มีอะไรสะกดเราไว้ได้เลย

เป็นภาพของโลกอนาคตในอีกหลายศตวรรษเบื้องหน้า หลังจากเกิดภัยพิบัติอะไรสักอย่าง ซึ่งทำลายอารยธรรมอย่างที่เรารู้จักไปหมด

เรื่องราวเกิดขึ้นในนครลอนดอน ซึ่งตอนนั้นกลายเป็นนครจักรกลขนาดยักษ์ที่ติดล้อและเดินเครื่องเขมือบกลืนทุกอย่างที่ขวางหน้า

ตัวร้ายในเรื่องมีชื่อหวานแหววของเทศกาลแห่งความรักว่าวาเลนไทน์ แสดงอย่างเข้มข้นโดยฮิวโก วีฟวิง ซึ่งเป็นนักแสดงคนเดียวที่เรารู้จักหน้าค่าตามาก่อน ปกติก็ฮิวโก วีฟวิง ชอบเล่นบทผู้ร้ายที่เย็นเยือกพูดชัดถ้อยชัดคำทุกพยางค์เสมอ อย่างใน The Matrix เป็นต้น แต่ก็มาชนะใจคนดูขาดลอยด้วยบทของประมุขผมทองของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ที่งดงามใน Lord of the Rings

ที่ว่าเป็นผู้ร้ายในหนังเรื่องปัจจุบันก็เพราะเขาทำทุกอย่างอย่างเลือดเย็นเพื่อจะได้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบไม่มีใครมาคัดค้าน ต่อต้าน ขวางทาง หรือแม้เพียงกังขา

แต่นอกเหนือจากนั้น แรงจูงใจของตัวร้ายก็ยังเป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องราวยังขยักเอาไว้สำหรับภาคต่อไป หรือว่าบทหนังยังไม่แน่นพอ แต่ที่รู้ก็คือ พล็อตยังหลวมเอามากๆ

 

นอกจากการตามล่าของฝ่ายผู้ร้าย และการหนีหัวซุกหัวซุนของฝ่ายพระเอก-นางเอกแล้ว การเดินเรื่องก็ดูเป็นไปตามสูตรสำเร็จแบบที่แทบไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

ส่วนพระเอกก็จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่กลางความพยายามฆ่าประมุขที่มีแผนการชั่วร้ายคนนี้ ระหว่างที่นางเอกผู้มีรอยแผลเป็นใหญ่คาดบนซีกแก้มจนต้องใช้ผ้าปิดจมูกปิดปากบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ลอบแทรกซึมเข้ามา และลงมือปฏิบัติการอุกฉกาจ

เหตุผลเท่าที่หนังบอกให้เรารู้คือ เฮสเตอร์ ชอว์ (เฮรา ฮิลเมอร์) มีความแค้นแน่นอุราที่จะต้องชำระสะสางกับวาเลนไทน์ ด้วยเหตุที่ในอดีตอันยาวไกล เขาฆ่าแม่ของเฮสเตอร์ ทิ้งให้เธอกำพร้าตัวคนเดียวตั้งแต่ยังเล็ก

พ่อของเฮสเตอร์หายไปไหน หรือเป็นใครก็ยังไม่มีคำอธิบายใดๆ

และเฮสเตอร์โตขึ้นมาในความดูแลของจักรกลประหลาดที่คืนชีพขึ้นจากทะเล ซึ่งเป็นสิ่งคุกคามความปลอดภัยของสังคมโดยทั่วไป

 

พระเอกของเรื่องคือ ทอม แนตสเวอร์ตี (โรเบิร์ต ชีฮาน) เขาเป็นหนุ่มน้อยใสซื่อที่บังเอิญพลัดเข้ามาอยู่ในสถานการณ์คับขันโดยไม่รู้ตัว และไล่ตามจับมือมีดจนไปจนมุม จนได้รับการเปิดเผยความชั่วร้ายของวาเลนไทน์ให้รู้

มีเพียงวาเลนไทน์เท่านั้นที่จะยืนยันความจริงเรื่องนี้ได้ โดยที่พระเอกผู้แสนซื่อของเราเลือกที่จะตั้งคำถามต่อผู้กล่าวหาโดยตรง ซึ่งเป็นเหตุให้เขาโดนกำจัดให้พ้นทางทันทีในฐานะผู้ล่วงรู้ความลับอันดำมืดของเขา

ซึ่งนั่นเป็นการผลักให้ทอมหันเหมาอยู่ข้างเดียวกับเฮสเตอร์ แต่แรกก็ด้วยสถานการณ์จำเป็น แต่ต่อมาก็ด้วยแรงดึงดูดและความเต็มใจ แบบพระเอก-นางเอกนั่นแหละ

ทั้งสองยังได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายที่น่าจะเรียกว่าเป็นกบฏที่ท้าทายอำนาจรัฐ ซึ่งนำโดยสาวห้าวผิวเหลือง

ปัจจุบันนี้นักแสดงชาวเอเชียกลายเป็นความจำเป็นสำหรับหนังบล๊อกบัสเตอร์ไปแล้ว หลังจากที่เคยต้องมีนักแสดงผิวดำอยู่ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อขยายตลาดมาสู่เอเชีย และฮอลลีวู้ดตระหนักว่าวงการภาพยนตร์ไม่สามารถต้านทานกระแสความนิยมจากนานาชาติได้อีกแล้ว

บทสาวนักบู๊คนนี้สวมบทบาทโดยศิลปินนักร้องเชื้อสายเกาหลีใต้ ชื่อจีเฮ ในภาพลักษณ์ห้าวแกร่งทรงผมสั้นกุดทะมัดทะแมง

ด้วยเหตุผลกลใดยังไม่รู้แจ้ง ฝ่ายพระเอกนางเอกต่อสู้อยู่กับอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่แสดงออกมาเป็นภาพของนครลอนดอนในอนาคตที่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยจักรกลขนาดใหญ่ซึ่งเขมือบกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า

 

ความน่าสนใจน่าประทับใจของหนังแฟนตาซีเกี่ยวกับโลกอนาคตขึ้นอยู่กับงานโปรดักชั่นที่สรรค์สร้างภาพอันบรรเจิดวิจิตรตระการตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และสมัยนี้ทั้งหมดสร้างสรรค์ด้วย “ซีจีไอ” หรือภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์แทบทั้งสิ้น

การันตีจากชื่อปีเตอร์ แจ๊กสัน ก็ยังให้ภาพแฟนตาซีพวกนั้นอยู่ตลอดเรื่อง

แต่พอดูจบเดินออกจากโรงหนังมา ภาพเหล่านั้นไม่ได้ติดตราตรึงอยู่ในหัวของผู้เขียนเลยสักภาพ มีเพียงภาพเดียวเท่านั้นที่ยังติดอยู่ในความทรงจำคือ ยานพาหนะของกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ซึ่งนำพาพระเอก-นางเอกเข้าบุกรังคู่อาฆาต

เป็นรูปร่างของนกยักษ์สีแดงสด เหินฟ้าอย่างบอบบาง เหมือนจะลอยไปตามลม ท่ามกลางแนวขอบฟ้าที่เห็นทะมึนมืดและแห้งแล้งอย่างน่ากลัวในโลกที่กลายเป็นจักรกลไปหมดแล้ว

สัญลักษณ์ของความขัดกันนี้ คงไม่มีใครพลาดมองไม่เห็นหรอกนะคะ แต่ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเป็นการใช้สัญลักษณ์อย่างไม่แนบเนียนที่สุดเลย นำเสนอแบบสุดโต่งจากหน้ามือเป็นหลังตีนแบบนี้

อย่างที่บอกแหละค่ะ เป็นปฐมภาคที่ไม่ชวนให้อยากติดตามตอนต่อไปเลย ไม่ว่าจะเป็นในด้านพล็อต แคแร็กเตอร์ หรือน้ำหนักของเรื่องราว

แต่ก็ไม่มีอะไรแน่หรอกนะคะ นี่พูดกันเฉพาะภาคแรกเท่านั้น ใครจะรู้…ภาคสองอาจดีกว่าภาคแรกก็ได้…