ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | คนของโลก |
เผยแพร่ |
ลีโอนาร์ด โคเฮน ที่เสียชีวิตขณะมีอายุได้ 82 ปี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เดินทางท่องโลกเพื่อเข้าถึงความโศกเศร้า สลดหดหู่ของตน ก่อนที่จะปรากฏขึ้นมาในฐานะหนึ่งในกระบอกเสียงทางจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมของยุคสมัย
โคเฮนซึ่งเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักร้องนักแต่งเพลง เข้าสู่วงการดนตรีค่อนข้างช้า โดยในตอนแรกเขามีอาชีพเป็นกวี ซึ่งเหมาะกับบุคลิกลักษณะความเป็นคนสันโดษ ขี้อายของเด็กหนุ่มจากเมืองมอนทรีออลผู้นี้
แต่โคเฮนที่ประสบความยากลำบากในการแสดงบนเวทีแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพ มีผลงานอันเป็นที่ยกย่องอย่างสูงสุดของยุคศตวรรษที่ 20 หลายชิ้น แม้ว่าเพลงเหล่านี้อาจไม่ใช่ผลงานที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างมากก็ตาม
บทเพลงเหล่านี้ อาทิ “โซลอง แมริแอน” และ “ซูซาน” ที่ตั้งชื่อเพลงตามผู้หญิงที่เคยเป็นคู่รักของโคเฮน และ “ฮัลเลลูยาห์” เพลงคล้ายบทสวดมนต์ที่ถูกคัฟเวอร์บ่อยครั้ง
โคเฮนเกิดในครอบครัวชาวยิวฐานะร่ำรวยที่เป็นผู้สร้างโบสถ์ยิวหลายแห่งในแคนาดา และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ด้านวรรณกรรมตลอดกาลของประเทศ
ทางการมอนทรีออลได้ประกาศลดธงลงครึ่งเสาเมื่อวันที่ 10 พฤจิกายนที่ผ่านมาหลังมีการประกาศข่าวการเสียชีวิตของโคเฮนอย่างเป็นทางการ
“ไม่มีกวีด้านดนตรีคนไหนที่สร้างผลงานซึ่งให้ความรู้สึกได้แบบเดียวกับโคเฮน และผลงานของเขาสร้างแรงสั่นสะเทือนให้ผู้คนหลากหลายเจเนอเรชั่น” จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวชื่นชม
โดยโคเฮนเป็นหนึ่งในผู้ที่หามโลงศพในพิธีศพของ ปิแอร์ ทรูโด พ่อของจัสตินที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดาด้วย
โคเฮนมีชีวิตที่สลับไปมาทั้ง 2 ด้านระหว่างการเป็นจุดสนใจกับการปลีกตัวแสวงหาความเงียบสงบ
ในนครนิวยอร์ก เขาคบค้าสมาคมกับศิลปินอาว็องการ์ด หรือแนวทดลอง อย่าง แอนดี วอร์ฮอล นักวาดภาพแนวป๊อปอาร์ตชื่อดัง และ ลู รีด นักร้องนำของวงเวลเว็ต อันเดอร์กราวด์ ที่เป็นผู้อ่านคำประกาศเกียรติคุณตอนที่โคเฮนได้รับการบรรจุชื่อเข้าในร็อกแอนด์โรล ฮอลล์ออฟเฟม เมื่อปี 2008 ซึ่งมีข้อความว่า “เราโชคดีมากที่ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับ ลีโอนาร์ด โคเฮน”
โคเฮนใช้เวลาในช่วงการเริ่มต้นอาชีพบนเกาะอีดรา ประเทศกรีซ ที่เขาสามารถเขียนหนังสือได้ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ห่างไกลจากความโกลาหล อึกทึกครึกโครม
และใช้เวลาในช่วงท้ายๆ ของชีวิตบวชเป็นพระในศาสนาพุทธนิกายเซน ที่วัดแห่งหนึ่งใกล้นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา
โคเฮนใช้เวลาตลอดช่วงชีวิตให้ความสนใจในเรื่องศาสนาและความศรัทธา โดยถือว่าตนเองเป็นชาวยิว แม้ว่าเขาจะอุทิศตนในการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธและยังศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ที่เป็นชาวฮินดูอีกด้วย
แต่โคเฮนก็มีชื่อเสียงทางด้านการคบผู้หญิงหลายคนในช่วงเวลาเดียวกัน รวมถึงการแต่งเพลง “เชลซีโฮเตล นัมเบอร์ 2” ซึ่งเป็นเรื่องราวการนัดหมายของเขากับ แจนิส จอปลิน ตำนานนักร้องนักแต่งเพลงหญิง ที่สถานที่ดังกล่าวอันเป็นโรงแรมดังในนครนิวยอร์ก ซึ่งโคเฮนมองว่าชีวิตทางเพศกับทางด้านศาสนาของเขานั้นไม่ขัดแย้งกัน
โคเฮนเคยอธิบายเรื่องนี้กับนิตยสารเพลงอัลเทอร์เนทีฟ ดีทรอยต์เมโทร เมื่อปี 1993 ว่า “ทั้งหมดนั้นเชื่อมโยงกัน หากคุณแยกพระเจ้าออกไปจากเซ็กซ์ นั่นคือเรื่องลามกอนาจาร หากคุณแยกเซ็กซ์ออกไปจากพระเจ้า นั่นคือความมั่นใจว่าตนเองถูกต้อง”
โคเฮนซึ่งถือเป็นกวีที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงอยู่แล้ว ประสบความสำเร็จในวงกว้างจากนวนิยายปี 1966 “บิวตี้ฟูล ลูสเซอร์ส” เรื่องเล่ายุคโพสต์โมเดิร์นที่ผสมผสานชีวิตของบรรดาฮิปปี้ในยุคทศวรรษที่ 1960 เข้ากับอดีตของชนพื้นเมืองในแคนาดา ซึ่งเขาเขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จขณะกำลังประสบปัญหาภาวะซึมเศร้า
โคเฮนเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการทรมานตนเองอีกครั้งในอีก 2 ทศวรรษถัดมาตอนแต่งเพลง “ฮัลเลลูยาห์” ที่เขาต้องใช้เวลาถึง 3 ปี และร่างเนื้อเพลงถึง 70 ฉบับ เพลงดังกล่าวที่ในตอนแรกถูกปฏิเสธจากต้นสังกัดของเขา กลายมาเป็นเพลงธีมสำคัญในแง่การให้กำลังใจ โดยมีเวอร์ชั่นคัฟเวอร์ที่ยอดเยี่ยมจากศิลปินหลากหลายราย อาทิ รูฟัส เวนไรต์ และ เจฟฟ์ บัคลีย์
โคเฮนต้องกลับมาออกผลงานเพลงอีกครั้งในช่วงท้ายของชีวิต สาเหตุสำคัญเพราะถูกผู้จัดการส่วนตัวที่เขาเชื่อใจมากที่สุดโกงเงินไปเกือบหมด โดยเขาออกอัลบั้มในปี 2012 และ 2014 ก่อนที่จะออกอัลบั้มสุดท้ายในชีวิต “ยู วอนท์ อิต ดาร์กเกอร์” เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งอัลบั้มดังกล่าวมีเนื้อหาพูดถึงการทำใจยอมรับความตายของตนเองอย่างสงบ
โคเฮนกล่าวถึงเรื่องนี้ในงานศพของ แมริแอน อีห์เลน 1 ในคนรักของเขาที่เป็นแรงบันดาลใจของเพลง “โซลอง แมริแอน” โดยในจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาเขียนถึงเธอ โคเฮนได้เปิดเผยถึงความรักไม่สิ้นสุดที่มีต่อเธอ พร้อมเขียนว่า
“ผมคิดว่าผมจะตามคุณไปในเร็วๆ นี้”