ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต/ฮอนด้า ซีวิค-ฟอร์ด เรนเจอร์ แชมป์ ‘มอเตอร์ เอ็กซ์โป’

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

ฮอนด้า ซีวิค-ฟอร์ด เรนเจอร์

แชมป์ ‘มอเตอร์ เอ็กซ์โป’

 

ควันหลงงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2018” ที่ปิดฉากไปเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา

เป็นไปตามคาดที่ยอดจองรถทะลุทะลวงเหลือเกิน รถ 4 ล้อปิดยอดที่ 44,189 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.9%

รถจักรยานยนต์ ยอดขายรวม 9,169 คัน

แต่ที่น่าแปลกใจคืออันดับยอดจองในงาน

โดยยอดรวมตกเป็นของ HONDA 6,842 คัน อันดับ 2 MAZDA 6,509 คัน อันดับ 3 TOYOTA 5,907 คัน อันดับ 4 ISUZU 4,437 คัน และอันดับ 5 MITSUBISHI 3,619 คัน

เมื่อแยกย่อยตลาดเก๋ง 5 อันดับแรก ได้แก่ HONDA CIVIC, HONDA CITY, MAZDA 2, HONDA JAZZ และ MG 3

รถเอสยูวี 5 อันดับแรก ได้แก่ MITSUBISHI PAJERO SPORT, MG ZS, HONDA CR-V, HONDA HR-V และ FORD EVEREST

และปิกอัพ 5 อันดับแรก ได้แก่ FORD RANGER, ISUZU D-MAX, MITSUBISHI TRITON, TOYOTA REVO และ NISSAN NAVARA

ที่ผมบอกว่าแปลกใจเพราะตลาดเก๋งตกเป็นของ HONDA และยังเป็นแชมป์ตลาดรวมด้วย แถมอันดับ 2 ยังตกเป็นของ MAZDA

ส่วนปิกอัพ FORD RANGER มาแรงแซงโค้งอย่างเหลือเชื่อ

เพราะปกติแล้วชื่อที่คุ้นเคยมักจะเป็นของค่ายใหญ่อย่าง “TOYOTA” ที่มักจะคว้าแชมป์หรือรองแชมป์ในทุกๆ ประเภท

 

เพื่อร่วมปิดฉากงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2018” เรามาทำความรู้จักอีกครั้งกับแชมป์ตลาดเก๋งและปิกอัพ คือ HONDA CIVIC และ FORD RANGER

เริ่มกันที่ HONDA CIVIC มีทั้งแบบ 4 ประตู และ 5 ประตู “แฮทช์แบ็ก” แต่ ณ ที่นี้ขอเจาะไปที่รุ่น “แฮทช์แบ็ก” เพราะใหม่กว่านั่นเอง

รุ่นล่าสุดถือว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่ 10 แล้ว ออกแบบรูปร่างหน้าตาได้สปอร์ตโดนใจ รูปลักษณ์ภายนอก ด้านหน้าใกล้เคียงกับซีวิค ซีดาน รุ่น 1.5 เทอร์โบ ออกแบบได้โฉบเฉี่ยว สิ่งที่แตกต่างคงเป็นกริลด้านหน้าซึ่งฝังไฟฟ็อกแลมป์จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นซีดาน และกันชนที่ดูเรียวบางกว่า

ฝากระโปรงหน้าลาดเทรับกับกระจกบังลมขนาดใหญ่สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์

ไฟหน้าแบบ LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED

ช่องรับอากาศบริเวณกันชนหน้าดีไซน์สไตล์สปอร์ตรูปรังผึ้ง เส้นสายบนตัวถังพาดผ่านตั้งแต่ด้านหน้าตัวรถยาวไปบรรจบกับขอบไฟท้ายรูปทรงตัว C แบบ LED เช่นกัน

กันชนท้ายมีเหลี่ยมสัน พร้อมเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาในสไตล์สปอร์ตด้วยช่องระบายอากาศดีไซน์รูปรังผึ้ง ล้อกับด้านหน้า

ครึ่งตัวรถด้านหน้านั้นแทบแยกไม่ออกจากรุ่นซีดาน แต่ด้านหลังแตกต่างค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเส้นหลังคาที่ยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้รับกับด้านท้ายแบบแฮทช์แบ็ก

ภาพรวมต้องถือว่าดูสปอร์ตกว่าซีดานค่อนข้างเยอะ เนื่องจากตัวถังกว้างกว่า ขณะที่ความสูงต่ำลง

 

การตกแต่งภายใน ออกแบบภายใต้แนวคิด “Daring ACE Design” โดยยึดหลัก “Man Maximum, Machine Minimum” ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นหลัก เน้นโทนดำเพื่อความสปอร์ต แซมด้วยการตกแต่งอะลูมินั่มขัดลาย สีไฮเปอร์แบล็ก

พวงมาลัย 3 ก้านขนาดใหญ่จับกระชับมือแบบแร็กแอนด์พิเนี่ยนแบบแกนพิเนี่ยนคู่ พร้อมระบบเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า มีระบบมัลติฟังก์ชั่น และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

หลังพวงมาลัยเป็นแพดเดิลชิฟต์ หรือแป้นเปลี่ยนเกียร์

เรือนไมล์แบบดิจิตอลเป็นแบบช่องเดียว แต่มีขนาดใหญ่เห็นเด่นชัดมากๆ ตรงกลางเป็นจอแสดงความเร็วรอบเครื่องยนต์ ส่วนความเร็วรถจะเป็นตัวเลขดิจิตอล

ขยับมาตรงกลางเป็นจอแสดงผลและเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) และช่องเชื่อมต่อ USB

ขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-5,500 รอบต่อนาที

มีกำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร แต่มีอัตราการประหยัดน้ำมันเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร

ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 จังหวะ แบบใหม่ พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม

ระบบความปลอดภัยและสะดวกสบายมีเพียบ อาทิ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) ฯลฯ

รวมถึงระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมต (Engine Remote Start) สามารถสั่งการได้จากระยะไกลเพื่อช่วยอุ่นเครื่อง พร้อมปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้เย็นสบายล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง

 

ส่วน FORD RANGER เพิ่งปรับโฉมใหม่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นรุ่นที่สร้างยอดขายให้ฟอร์ดอย่างจั๋งหนับเหลือเกิน

มีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกถึง 3 แบบเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานและความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายยิ่งขึ้น ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ, เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.0 ลิตร เทอร์โบ และเครื่องยนต์ดูราทอร์ก ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบ

สำหรับรุ่นแร็พเตอร์ และรุ่นไวลด์แทรค 4×4 ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมมอบแรงบิดที่สูงขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ที่หลากหลาย ทำให้เสียงเครื่องยนต์เงียบลงกว่าเดิม

จุดเด่นที่สุดของรุ่นนี้ยกให้เทคโนโลยีความปลอดภัย ประกอบด้วยระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) เป็นครั้งแรกในตลาดรถกระบะ ออกแบบมาเพื่อตรวจจับคนเดินถนนและยานพาหนะด้านหน้า

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) และระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกจากเลน (Lane Departure Warning) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)

 

ด้านรูปลักษณ์ ปรับเปลี่ยนเพื่อสื่อถึงความสมบุกสมบันแบบออฟโรดและความโฉบเฉี่ยวยามอยู่บนท้องถนนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เริ่มจากกระจังหน้าที่ออกแบบมาอย่างเรียบง่ายแต่มีมิติที่เด่นชัด และกันชนล่างปรับให้ช่องนำอากาศกว้างขึ้นด้วยดีไซน์ที่ลงตัว เรนเจอร์ ไวลด์แทรค และรุ่น Limited มาพร้อมไฟเดย์ไลต์ LED และไฟหน้า HID เพื่อทัศนวิสัยที่ดียิ่งขึ้น

ตกแต่งเส้นสายด้วยโครเมียมในเรนเจอร์ XLT และ Limited รวมไปถึงการตกแต่งแบบโดดเด่นในเรนเจอร์ ไวลด์แทรค สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละรุ่นได้เป็นอย่างดี เรนเจอร์ ไวลด์แทรค ยังมาพร้อมสีภายนอกใหม่เฉพาะรุ่น นั่นคือ สี “เซเบรอ” สีส้มประกายบรอนซ์ ซึ่งตัดกันอย่างงดงามกับกระจังหน้าสีเทาเข้ม สปอร์ตบาร์และล้ออัลลอย 18 นิ้ว ยังช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดี

ห้องโดยสารเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งรายละเอียดด้วยโครเมียมและการเดินด้ายสีเงิน ความบันเทิงมีระบบซิงก์ 3 (SYNC 3) รองรับ Apple Carplay และ Andriod Auto พร้อมบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว และกล้องมองหลัง

ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถเมื่อออกนอกพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นอกจากนี้ ระบบซิงก์ 3 ยังมาพร้อมระบบจดจำเสียงและระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทย

เพิ่มระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร (Active Noise Cancellation) ในรุ่นไวด์แทรค ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออีกด้วย ทั้งมอบความสะดวกสบายด้วยกุญแจอัจฉริยะ (PEPS) และปุ่มสตาร์ตรถอัตโนมัติ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Limited และรุ่นไวลด์แทรค

FORD RANGER มีให้เลือกถึง 20 รุ่นย่อย