คำ ผกา l อย่าให้ต้องรอจนถึงชาติหน้า

คำ ผกา

ไม่น่าเชื่อว่าจะถึงวันที่อันดับความเหลื่อมล้ำของไทยจะเลื่อนจากอันดับ 3 ของโลกไปเป็นอันดับ 1 ของโลก

และฉันก็ไม่ประหลาดใจเลยที่ทั้งรัฐบาลและสภาพัฒน์จะพยายามปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ แทนที่จะออกมาบอกว่า จะพยายามลดความเหลื่อมล้ำนั้นลงได้อย่างไร?

และความจริงอันเจ็บปวดเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำคือ ไม่ว่าจะประเทศไหนในโลก ผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจมักจะสามารถกุมสภาพทางการเมืองเอาไว้ด้วย และเป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้มีอำนาจเหล่านั้นย่อมไม่อยากสูญเสียอภิสิทธิ์ ผลประโยชน์ของตนเอง และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อผดุงความเหลื่อมล้ำนั้นไว้ตลอดไป

เพราะฉะนั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะต่างจากปัญหาอื่นๆ นั่นคือ มันเป็นปัญหาที่เราไม่อาจไปคาดหวัง ร้องขอให้รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจเกิดดวงตาเห็นธรรมว่า เออ…เราต้องลดความเหลื่อมล้ำแล้วละ ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยของประเทศเรามันชักจะถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ

สิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น-ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะได้รับการแก้ไขอย่างถอนรากถอนโคนก็ต่อเมื่อ ประชาชนในประเทศนั้นสักร้อยละ 20 มีฉันทามติร่วมกันว่า แนวทางเศรษฐกิจ การเมือง อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อย

สิ่งที่เราต้องทำคือ ผลักดันให้พรรคการเมือง “ฝ่ายซ้าย” ที่เป็นตัวแทนของสามัญชนอย่างแท้จริงขึ้นมามีอำนาจรัฐ

แล้ว “ปฏิรูป” ประเทศ ให้เข้าสู่การเมืองแบบ “ประชาธิปไตยสังคมนิยม” ไม่ใช่ “ประชาธิปไตยเสรีนิยม”

หัวใจของ “สังคมนิยมประชาธิปไตย” คือรัฐสวัสดิการ ในขณะที่ “เสรีนิยมประชาธิปไตย” เน้นการแข่งขัน และตลาดเสรี (ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าตลาดเสรีนี้ไม่มีอยู่จริง เช่น ร้านโชห่วยในระยะยาวก็จะแข่งกับร้านสะดวกซื้อแบบแฟรนไชส์ไม่ได้ เพราะความสามารถทางการแข่งขันย่อมไม่เท่ากัน)

ในแง่นี้ ถ้าเราต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ มันมีหนทางเดียวเท่านั้นคือ มุ่งเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการและเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย

ดังจะเห็นจากโมเดลของประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียทั้งหลาย

การเดินหน้าไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ ย่อมหมายถึงการเก็บภาษีผู้มั่งคั่งอย่างหนักหน่วง ทั้งภาษีรายได้ ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก เพื่อใช้เงินภาษีนั้นมาทำรัฐสวัสดิการบริการแก่พลเมืองทุกผู้ทุกนาม

ทีนี้ถามว่า จะมีนักการเมืองและอภิมหาเศรษฐีที่กุมทรัพย์สิน กุมเศรษฐกิจของประเทศ แถมยังครอบครองที่ดินไปเกินร้อยละ 50 ของสัดส่วนการถือครองที่ดินทั้งหมด คนไหนหรือจะยอม?

การไม่มีพรรคแรงงานและพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของชนชั้นล่าง และเป็น “ฝ่ายซ้าย” ที่ซีเรียส จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยไม่ถูกพูดถึงอย่างจะให้ทะลุถึงแก่นแกนปัญหาของมัน

ทุกครั้งที่พูดถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย จึงเป็นการพูดถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในรูปแบบของการ-เจียดเศษขนมเค้กไปสู่มือคนจน-เท่านั้น เช่น ขึ้นค่าแรง แจกเงินในบัตรคนจน ให้คนจนนั่งรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ให้ไปฝึกอบรมอาชีพ เปิดร้านขายของราคาประหยัดให้คนจน ฯลฯ

สาหัสกว่านั้นยังมีกลไกทางอุดมการณ์ที่ทำให้ทั้งคนจนและคนชั้นกลางไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่จะเป็นหนทางนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน

กลไกทางอุดมการณ์ในสังคมไทยก็คือ การสร้างวาทกรรมว่า คนจนเพราะขี้เกียจ คนจนเพราะหนักไม่เอาเบาไม่สู้ คนจนเพราะกินเหล้า สูบบุหรี่ หมกมุ่นในอบายมุข คนจนเพราะไม่สนใจเลี้ยงลูกเต้าให้ดี เลี้ยงลูกไม่เป็น ลูกโตมาก็กลายเป็นแว้น สก๊อย สืบทอดความยากจนต่อไป

พูดง่ายๆ ว่า ในสังคมไทยมีความพยายามจะอธิบายเหตุแห่งความจนคือความใฝ่ต่ำส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ

ไม่นับคำอธิบายเชิงศาสนา ความเชื่อ ที่บอกว่า คนร่ำรวย สุขสบายเพราะสะสมบุญมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ชาตินี้ยิ่งทำบุญต่อก็ยิ่งร่ำรวยขึ้น

จากนั้นก็นำไปสู่แนวทางการช่วยเหลือคนจนแบบเพี้ยนๆ เช่น การเชิดชูกิจกรรมการวิ่งเพื่อหาเงินสร้างโรงพยาบาล และคนคนนั้นก็กลายเป็นฮีโร่ของสังคม

หรือการรณรงค์ว่าเลิกทำบุญให้วัด หันมาทำบุญด้วยการสร้างโรงพยาบาลดีกว่า

แทนที่จะคิดว่า ภาษีของเราถูกเอาไปใช้ผิดประเภทหรือไม่

แทนที่จะถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เรากลับมากดดันประชาชนด้วยกันเองว่า ช่วยกันควักกระเป๋ามาบริจาคสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลสิ

การบริจาคด้วยความสมัครใจก็เรื่องหนึ่ง แต่ทั้งหมดนี้ ทุกคนต้องเข้าใจให้ตรงกันว่า โรงเรียน โรงพยาบาล สาธารณูปโภค เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องจัดหาให้ประชาชนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

และรัฐต้องรู้ว่า หากโรงพยาบาลยังขาดแคลนอะไรต่อมิอะไร รัฐควรใช้งบฯ ไปกับการซื้ออาวุธก่อน หรือใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนก่อน?

ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคม hybrid ระหว่างเผด็จการกับเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่กับความเป็นพิธีแบบไทยๆ ทำให้ชนชั้นกลางของไทยจำนวนมากมีความใฝ่ฝันอยากถีบตัวเองไปเป็นหนึ่งในชนชั้นนำ

และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เพราะมีความฝันอยากเป็นอภิสิทธิ์ชน!!

ชนชั้นกลางไทยไม่ต้องการความเท่าเทียมและความเสมอภาค เพราะชนชั้นกลางไทยเชื่อว่าตัวเอง on the journey to be one of อภิสิทธิ์ชน

ชนชั้นกลางไทยกลัวว่า ตัวเองทำงานหนักมาก แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอภิสิทธิ์ชนอยู่ในสังคมนี้แล้ว ทุกคนเสมอภาคกัน มีบ้าน มีรถ ลูกเข้าโรงเรียนเหมือนๆ กันไปหมด ชีวิตมันก็ไม่มีอะไรให้ look forward to

ระหว่างที่ยังไม่สามารถขึ้นไปเป็นอภิสิทธิ์ชนได้ ชนชั้นกลางไทยก็บริหารอภิสิทธิ์ไป กับการสะสมแต้มบัตรเครดิต เพื่อให้ได้ fast track ในการรับบริการต่างๆ บริโภค ซื้อข้าว ซื้อของ เพื่อให้ได้ที่จอดรถในห้าง ที่เป็นที่สงวนสำหรับผู้ถือบัตรทอง บัตรดำต่างๆ

และมันโคตรตลกเลย ที่ชนชั้นกลางไทยไทยแข่งกันมีอภิสิทธิ์ ที่ตนเองจะต้องแลกมาด้วยการสะสมแต้มจากการบริโภคให้มาก ซื้อให้มาก และสนุกกับการบริหารอภิสิทธิ์ แบบห้าบาทสิบบาทก็เอา เช่น การเบ่ง การใช้เส้น การอ้างอิงความสนิทชิดเชื้อกับผู้มียศ มีตำแหน่ง

นึกออกไหม การกระทำแบบนี้ควรจะเป็นเรื่องน่าละอายที่สุด ในสังคมไทย ใครเบ่งมาก ใครใช้เส้นมากแปลว่าคนคนนั้นต้องเจ๋งมากๆ

สำนึกแบบนี้จองจำคนทั้งสังคมไม่ให้หลุดจากความเหลื่อมล้ำ เพราะคนอยากถนอมรักษาความเหลื่อมล้ำเอาไว้เพื่อรอวันที่ตัวเองจะได้ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดของพีระมิด หรือเป็นหนึ่งในผู้อยู่จุดสูงสุดของพีระมิด

ไม่เพียงแต่บริหารอภิสิทธิ์ประเภทที่จอดรถวีไอพีไปพลางๆ ระหว่างยังไม่สามารถขึ้นสู่จุดสุดยอดของพีระมิด คนชั้นกลางจำนวนมากยังตอบสนองความฝันที่จะได้เป็นอภิสิทธิ์ชนของตนเองด้วยการเลือกซื้อคอนโดฯ หรือบ้านจัดสรร ที่จะมีชื่อว่า privilege, Lux, Rich ฯลฯ

อันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ความฝันของชนชั้นกลางนั้นไม่ได้ฝันถึงความเสมอภาค แต่ฝันว่า วันหนึ่งเราจะอยู่เหนือคนอื่นๆ ทั้งปวง

แต่ความจริงที่แสนเศร้าคือ ชนชั้นกลางในปัจจุบันกำลังเผชิญกับภาวะที่เรียกว่า modern poverty หรือการเป็นคนจนรุ่นใหม่

คนจนรุ่นใหม่ ไม่ได้จนเพราะไม่มีการศึกษา หรือเงินเดือนน้อย

แต่คนจนรุ่นใหม่ คือคนที่เงินเดือนห้าหมื่น ผ่อนรถสองหมื่น จ่ายค่าน้ำมันห้าพัน ผ่อนคอนโดฯ อีกหมื่นห้า บวกลบคูณหารแล้วเหลือเงินติดกระเป๋าต่อเดือนไม่กี่บาท

และขับเคลื่อนชีวิตต่อไปด้วยสินเชื่อบัตรเครดิต

คนจนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยมีเงินเดือนรวมกันสองคนผัวเมียสองแสน แต่ก็ต้องผ่อนรถ ผ่อนบ้าน จ่ายค่าประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันรถ ค่าเทอมลูกที่แพงลิบลิ่ว เพราะคนระดับนี้ก็ต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดอันหาไม่ได้จากโรงเรียนรัฐบาล หรือไม่ก็ต้องเก็บเงินไว้จ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะอีกก้อนใหญ่

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า modern poverty คนชั้นกลาง การศึกษาดี เงินเดือนสูง แต่ก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่มันควรเป็นหน้าที่ของรัฐในการจัดหาให้เรา ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย หรือเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำ โรงเรียนดี ที่เราไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง สวัสดิการสุขภาพที่ทำให้เราไม่ต้องไปเสียเงินให้บริษัทประกันสุขภาพ ขนส่งมวลชนที่ดี อันจะทำให้ไม่ต้องผ่อนรถ ฯลฯ

แต่ด้วยความที่รัฐบาลไม่ได้จัดหาสิ่งเหล่านี้ให้ และเราหลงคิดว่าเราคือชนชั้นกลางระดับบนแล้ว เงินเดือนเราสูงแล้ว แต่ในที่สุด เรากลับพบว่า ยิ่งหาเงิน เงินที่ยิ่งหาย เงินเดือนสองแสน แต่หักค่าใช้จ่ายแล้วแทบไม่มีอะไรเหลือ เผลอๆ จะติดลบอีก

ปัญหาความเหลื่อมล้ำจากตัวเลขที่เราเห็นล่าสุดที่น่าตกใจคือ คนที่ทรัพย์สินต่ำกว่า 327,000 บาท ในประเทศไทยมีถึงร้อยละ 91.7 และการที่เรามีทรัพย์มากกว่า 327,000 บาท แต่ไม่เกิน 3,270,000 บาท นั้นมีแค่ร้อยละ 7 เท่านั้น

เมื่อบวกมิติเรื่อง modern poverty เข้าไปอีก เราจะเห็นว่าโอกาสของคนร้อยละ 7 จะตกลงมาเป็นส่วนหนึ่งของร้อยละ 91 ได้ไม่ยากเลย

และหากโครงการการเมือง เศรษฐกิจของเราเป็นอย่างทุกวันนี้คือ อำนาจรัฐไปผนวกทุนเจ้าสัวหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจเสรีนิยมภายใต้ regime ที่เป็นเผด็จการ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ความเหลื่อมล้ำอันจะทวีความรุนแรงขึ้นจนไม่อาจจะกอบกู้อะไรกลับมาได้อีก

เพราะ regime เผด็จการ จะทำทุกวิถีทางที่หล่อหลอมความคิดความเชื่อของคนให้จำนนต่อความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น

โดยผลักความผิดนั้นให้เป็นเรื่องความบกพร่องของปัจเจกบุคคล เช่น เราไม่รวยสักทีเพราะเราไม่ออม เราลืมตาอ้าปากไม่ได้สักทีเพราะเราวางแผนทางการเงินไม่เป็น ไม่มีวินัย ไม่ศึกษาแผนการลงทุนอย่างฉลาด เพราะเราฟุ้งเฟ้อ

ส่วนคนที่จนมากๆ นั้นก็จนเพราะขี้เกียจ เพราะไม่เรียนหนังสือ เพราะกินแต่เหล้า ฯลฯ

ถึงจุดนี้ มันมีทางเดียวเท่านั้นที่เราพอจะเห็นหนทางลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้

นั่นคือ พลเมืองไทยต้องได้สิทธิทางการเมืองของตนเองกลับมาเสียก่อนเป็นเบื้องต้น

วางรากฐานประชาธิปไตยแล้ว เลือกจะเป็นเสรีนิยมหรือสังคมนิยมทางเศรษฐกิจค่อยมาว่ากัน

และหวังว่าคงไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า