วิเคราะห์ : พยัคฆ์อารมณ์ดี “Mr.ดีล” แห่งยุค “พยัคฆ์ป้อม” ไม่เคยคิด “ลงหลังเสือ”?

ท่ามกลางกระแสการเมือง “เลือกตั้ง” ที่ปักธงไว้ 24 กุมภาพันธ์ 2562 และได้มีการปลดล็อกพรรค 11 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยการยกเลิกคำสั่ง คสช. 9 ฉบับ ทำให้การ “หาเสียง” ทำได้ทันที พร้อมทั้งเตรียมประกาศใช้ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง 2 มกราคม 2562 หลังความชัดเจนนี้เกิดขึ้นในที่ประชุม “แม่น้ำ 5 สาย-75 พรรค” เมื่อ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา

จึงเริ่มเข้าฤดูกาล “จีบ” ทางการเมือง หลังจบ “พลังดูด” อดีต ส.ส.มาร่วมพรรค ทั้งย้ายหรือสลับขั้วทางการเมือง

การจีบนี้ก็คือ การร่วม “รัฐบาล” กันในอนาคต

แน่นอนว่าเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็น “ศึก” ระหว่างขั้วที่เอาและไม่เอาอำนาจ คสช. ไม่ใช่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” อย่างที่เป็นมา

แน่นอนว่าพรรคที่ยังไม่แสดงจุดยืนชัด จึง “เนื้อหอม” ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่มีกระแสว่า “บิ๊กป้อม” ได้สายตรงไปยัง “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” อดีตเลขาธิการพรรค ในการ “ดีล” เพื่อดัน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับ “บ้านนรสิงห์” กลับมาเป็น นายกฯ อีกครั้ง

อย่าลืมว่า “บิ๊กป้อม” ก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “พรรคสีฟ้า” เพราะเคยเป็น รมว.กลาโหมมาเกือบ 3 ปี สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่ง พล.อ.ประวิตรก็ยอมรับว่า คุยกันได้ คุยได้กับทุกคน แต่ยังไม่เจอ ถ้าคุยจะถามว่าสบายดีไหม ถือเป็นการ “เปิดช่อง” เรื่องการพูดคุยให้ “พรรคประชาธิปัตย์” มาทำงานการเมืองร่วมกัน

“ก็ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย จึงยังตอบไม่ได้ ถ้าได้เจอก็ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะคุยหรือไม่ ตอนนี้ผู้สื่อข่าวอย่าเพิ่งถาม ก็เอาไว้ก่อนสิ ใจเย็นๆ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านบอกแล้วใช่ไหมว่ายังไม่ถึงเวลา” พล.อ.ประวิตรกล่าว
“ท่านพูดทำนองว่าจริงๆ หากมีอะไรก็สามารถคุยกันได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คุยกัน ซึ่งท่านก็ทำงานมาด้วยกันกับผม สมัยเป็นรัฐบาล ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะพบเรื่องอะไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว

แต่ชื่อที่ทำให้ “สะดุดใจ” คือ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อสื่อพูดขึ้นมา ถึงกับทำให้ พล.อ.ประวิตรอารมณ์ดีผิดปกติ ทั้งยิ้ม ยักคิ้ว หัวเราะเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรเคยแง้มอนาคตการเมืองของตนออกมา ด้วยการยกกรณีสมัยเป็น รมว.กลาโหมสมัยแรก ว่า ตนอยู่เฉยๆ ซึ่งนายสุเทพ รองนายกฯ ขณะนั้นก็มาเชิญไปทำงาน ต่อมา พล.อ.ประวิตรก็มีท่าทีที่ชัดเจนขึ้น หลังไม่ยืนยันว่าจะไม่รับตำแหน่งหลังเลือกตั้งหรือไม่?

“ไม่รู้ ก็แล้วแต่ พร้อมทำงานหรือไม่ยังไม่รู้ อนาคตเป็นเรื่องที่เราจะไปรู้ได้อย่างไร ก็ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด” พล.อ.ประวิตรกล่าว 7 ธันวาคม

ที่ผ่านมาบุคคลใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” ระบุว่า ปกติ พล.อ.ประวิตรไม่ใช่นายทหารที่เฮฮามากนัก โดยเฉพาะกับลูกน้อง แต่ในบรรดาน้องรักของ พล.อ.ประวิตร ก็พูดตรงกันว่า พี่ป้อมช่วยใครก็ช่วยจริงๆ จึงเป็นที่สังเกตในระยะหลังที่ พล.อ.ประวิตรอารมณ์ดีชัดเจนตลอด โดยเฉพาะเวลาอยู่กับสื่อ

แต่อีกความสุขของ พล.อ.ประวิตร คือการได้กินอาหารร้านดังร้านเด็ด ถือว่าเป็นนักชิมเลยทีเดียว เพราะเคยมีคนไปเจอตามร้านชื่อดังมาแล้ว แต่โดยพื้นฐานก็เป็นคนกินง่าย ชอบก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ต้มจับฉ่าย เป็นต้น แต่จะคุมอาหารไม่กินของหวานหรือที่มีน้ำตาล

หากจับทาง “บิ๊กป้อม” คงจะเดินสู่ถนนการเมืองต่อ เพราะสิ่งที่ค้ำยันบารมีที่สำคัญคือ การมีตำแหน่งแห่งที่ หลัง พล.อ.ประวิตรเคยตอบสื่อ พร้อมคุยกับนักการเมืองหลังเลือกตั้งหรือไม่? ว่า “เขาคงไม่คุยแล้ว เพราะผมไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว ตอนนี้เขายังไม่คุย แล้วเขาจะคุยหลังเลือกตั้งหรือ มองไม่เห็นภาพเลย”

หาก “บิ๊กป้อม” ไม่ลงสู่สนามการเมือง ก็จะต้องไปทำงาน “เบื้องหลัง” ช่วย พล.อ.ประยุทธ์ แทน ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” หรือ “Mr.ดีล” ซึ่งเป็นฉายาที่ได้มาตั้งแต่สมัยต้นปี 2560 ที่เชิญพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง มาพูดคุยปรองดอง จนเป็นที่มา “สัญญาประชาคม 10 ข้อ” นั่นเอง ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็มาด้วย นำโดย “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

แต่อย่าลืมว่า เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ล้วนมาจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะการถูกอ้างชื่อ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการอ้างว่า “บิ๊กทหาร ทภ.2” ไปเป็น “พลังดูด ส.ส.อีสาน” ให้มาร่วมพรรคพลังประชารัฐ แถมยังถูกพวกนักการเมืองในพรรคออกมาเปิดเผยว่า “เด็กบิ๊กป้อม” ไปยุ่มย่ามในพรรค

ทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องออกมายืนยันว่าไม่เคยไปสั่งใครให้ไปมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับใคร พร้อมจี้ถามชื่อ “เด็กบิ๊กป้อม” ที่ไปอ้างกันด้วย

แต่ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรก็โลว์โปรไฟล์ตัวเองลงไปมาก เห็นได้ชัดจากวัฒนธรรมการเปิดวันรับอวยพรวันเกิด ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ใน ร.1 รอ. ที่ได้ลดขนาดลง ทั้งไม่มีการตั้งแถวรับอวยพรจาก ผบ.เหล่าทัพ รวมทั้งการให้เพียงระดับ ผบ.เหล่าทัพเข้าอวยพรเป็นการภายในห้องรับรอง แบบเรียบง่ายที่สุด ไม่มีการตบเท้าของผู้การกรมหรือผู้บังคับกองพันแบบที่ผ่านๆ มา

แต่ต้องยอมรับว่าการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลก็มี “ข้อจำกัด” มากขึ้น แต่ในภาพรวม พล.อ.ประวิตรก็ยังคุมกองทัพได้ ด้วยความเป็นรุ่นพี่ ตท.6 และยังมีน้องในกองทัพที่ทำงานมากับ พล.อ.ประวิตร และอย่าลืมว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรเป็น รมว.กลาโหมรวมเกือบ 7 ปี ทั้งในรัฐบาลอภิสิทธิ์และรัฐบาลประยุทธ์ สะท้อนบทบาท ตท.6 ของ “บิ๊กป้อม” ที่มีอยู่ ซึ่งในวันนี้ ผบ.เหล่าทัพคือ ตท.18-20 แล้วก็ตาม

ในช่วงปีที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรก็เป็นผู้ที่ “คืนความสุข” ให้กับ “ลูกหนี้นอกระบบ” นับแสนรายทั่วประเทศ ผ่านโครงการ “คืนโฉนด คืนความสุข” โดยมี “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สตช. มาเป็นแม่ทัพจัดแจงงานนี้ให้ พร้อมให้ พล.อ.ประวิตร พร้อม “บิ๊กทหาร-ตร.” ลงพื้นที่ไปมอบโฉนด คืนทรัพย์สินให้กับลูกหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะลงพื้นที่ภาคอีสาน ที่มีจำนวนผู้เป็นหนี้นอกระบบมากที่สุด ภาพที่ออกมาคือ ชาวบ้านยกให้ “บิ๊กป้อม” เป็นอัศวิน หรือผู้มอบชีวิตใหม่เลยทีเดียว

แต่สิ่งที่ยังเป็นปมใหญ่คือเรื่อง “นาฬิกาหรูยืมเพื่อน” ซึ่งทางเลขาธิการ ป.ป.ช.ชี้แจงว่า บริษัทผู้ผลิตนาฬิกาที่ต่างประเทศส่งข้อมูลเกี่ยวกับซีเรียลนัมเบอร์ของนาฬิการุ่นเดียวกับที่ พล.อ.ประวิตรครอบครองมาให้ ป.ป.ช.แล้ว

โดยจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาในช่วงปลายธันวาคมนี้ด้วย

มากันที่ “บิ๊กตู่” ที่ระบุถึง “อนาคตทางการเมือง” ที่ดูแล้วไม่คืบเท่าไหร่ เพราะอยู่ระหว่างรอคนมาทาบทาม โดยเฉพาะจาก “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ที่สุด ซึ่ง “บิ๊กตู่” อ้างข้อกฎหมายว่าเขาให้เสนอชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” ได้เมื่อใด ซึ่งการเสนอรายชื่อจะเกิดขึ้นหลัง พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ส. ประกาศใช้ไปแล้ว 25 วัน จึงยังมีเวลาในการตัดสินใจ แน่นอนว่า “บิ๊กตู่” มั่นใจไม่น้อย งานนี้ต้องมา “ขอ” แน่นอน

พร้อมย้ำถึง 4 รัฐมนตรีที่ยังไม่ “ลาออก” จากตำแหน่งหลังมาเป็นผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ ว่า อยู่ที่ข้อกฎหมาย แม้ว่ากันว่า 4 รัฐมนตรีจะลาออกช่วงที่ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ส. ออกมาแล้วก็เหลือเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น

ซึ่งทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็ยืนยันแล้วว่าไม่มีการปรับ ครม. ด้วยระยะเวลาที่เหลือน้อยแล้วของ ครม. หาก 4 รัฐมนตรีลาออกแล้ว และได้เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ แรงสะวิงก็จะตีกลับมายัง พล.อ.ประยุทธ์ทันทีว่าจะ “ลาออก” หรือไม่ โดยเฉพาะตำแหน่งหัวหน้า คสช.

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เคยปรึกษานายวิษณุ เครืองาม มือกฎหมาย คสช. แล้วว่าไม่ต้องสมัครพรรคการเมืองใดก็ได้ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์เคยกล่าวย้ำในวันที่ประกาศ “ผมสนใจงานการเมือง” ว่าไม่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้า คสช.ด้วย

“แล้วเขาจะขอผมหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แล้วผมจะตอบรับหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้ ก็เหมือนกับการแต่งงาน ถ้าไม่มีมาขอแล้วลูกสาวจะแต่งงานได้ไหม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

“กฎหมายว่าไว้อย่างไร ถ้าไม่ได้กำหนดก็จบ ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งก็เป็นเรื่องของ 4 รัฐมนตรี” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่รัฐธรรมนูญ 2560 ที่เปิดช่องให้ “นายกฯ-รัฐมนตรี” ไม่ต้องเป็น ส.ส.ก็ได้ ดังนั้น ทั้ง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ยังคงกลับมาลงสนามการเมืองได้โดยไม่ต้องสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ในกรณี “บิ๊กตู่” คือ การลงในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรค ส่วน “บิ๊กป้อม” ก็มาในลักษณะการเชิญมา เช่นครั้งสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เท่ากับว่าเราอาจได้ “นายกฯ หน้าเดิม” ไม่พอ แต่อาจได้ “รมว.กลาโหมคนเดิม” กลับมาด้วย

“2 ป.บูรพาพยัคฆ์” ไม่เคยพรากจากกัน!!