จัตวา กลิ่นสุนทร : รอเวลา(เลือกตั้ง)มานานแล้ว–ประชาชน

มติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้ผ่านสู่ร้านหนังสือก่อนถึงมือท่านผู้อ่าน ประเทศนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 70 กว่าวัน คนไทยจะได้ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง “เลือกตั้ง” ตัวแทนให้ไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร

ตามที่ “กลุ่มอำนาจ” ซึ่งทำ “รัฐประหาร” เข้ามาตั้งตัวเองบริหารประเทศ กำหนดเอาไว้ว่าจะเป็น “วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562” หลังจากที่ปล่อยให้ประชาชนถูกหลอกให้เฝ้ารอมานาน

แต่ถึงวันนี้ยังมีคนไม่เชื่อสนิทใจว่ามันจะเป็นจริง

สาเหตุจากพฤติกรรมที่ผ่านมามีการเลื่อนแล้วเลื่อนอีกหลายครั้งหลายหน

เพราะ “กลุ่มอำนาจ” ไม่อยากให้มีการเลือกตั้งจนกว่าพวกเขาซึ่งต้องการสืบทอดอำนาจจะเกิดการได้เปรียบจากการเลือกตั้ง จะได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศต่อไปทั้งๆ ที่เสียงเรียกร้องทั่วไปต้องการให้เปลี่ยนแปลง

เนื่องจากกว่า 4 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรองดองสมัครสมานสามัคคี ปฏิรูปการเมือง และเรื่องปากท้องของประชาชนผู้ยากไร้ระดับล่าง

ภาพรวม “เศรษฐกิจ” ของประเทศทรุดลงๆ อย่างต่อเนื่อง กระทั่งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจกล่าวกันว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับหมดแทบทุกตัว

ไม่เว้นแม้กระทั่งการท่องเที่ยวที่เป็นตัวหลักให้กับรัฐบาลเผด็จการชุดนี้

แต่รัฐบาลก็ยังยืนยันนั่งยันว่ามันไม่ได้เลวร้าย มันกำลังจะดีขึ้น

ขณะเดียวกันบอกว่า รัฐบาลทำงานอย่างหนักด้วยความเหน็ดเหนื่อย แก้ไขปัญหามากมายหลายสิ่งอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่รัฐบาลก่อนๆ ได้ปล่อยทิ้งเอาไว้

 

“นายกรัฐมนตรี” มีลักษณะท่าทางอาการเหมือนคนป่วย หงุดหงิดอารมณ์เสียตลอดเวลาเมื่อต้องเผชิญกับคำถามที่ไม่ตรงกับความต้องการของท่าน เกรี้ยวกราด ตะคอกข่มขู่ พูดจาดุดันรุนแรงใส่นักข่าวเสมอๆ วิธีการที่แสดงออกเป็นลักษณะอาการของ “ผู้ยิ่งใหญ่” โดยแท้จริง

รัฐบาลชุดนี้มากจากรัฐประหาร “ยึดอำนาจ” ของประชาชนมาตั้งสมัครพรรคพวกทั้งหลายทั้งปวงเป็น “รัฐมนตรี” คัดเลือก “สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” มาจากพวกเดียวกัน การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีคณะกรรมการร่าง “รัฐธรรมนูญ” บอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง ใช้เวลาจัดทำกันนานหลายปี

เมื่อชุดก่อนทำไม่ได้ดังใจต้องการ เสร็จเร็วไปไม่สอดคล้องกับความต้องการจะอยู่ยาวเพื่อสืบทอดอำนาจ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง กระทั่งมาได้ชุดใหม่มาสนองเจตนารมณ์ยกร่างจนเสร็จสรรพ หน้าตาออกมาอย่างไรก็ต้องให้ผู้ที่เก่งกาจสามารถท่านวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์เอาเอง

รัฐธรรมนูญผ่านประชามติของประชาชนออกมาได้ท่ามกลางเสียงพึมพำจากหลายฝ่ายว่าใช้วิธีการและอำนาจที่มีอยู่ผลักดัน สุดแท้แต่จะวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา แต่รัฐธรรมนูญได้ออกมาใช้บังคับเรียบร้อยแล้ว เพียงว่ามันยังมีอะไรพิลึกพิลั่น คาราคาซัง เช่น มาตรา 44 ที่ยังทับซ้อนใช้กันอยู่

รัฐบาลมีอำนาจเต็มจริงๆ มี “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) เป็นเหมือนดั่งเปลือกหอยห่อหุ้มอยู่คล้ายๆ “รัฐบาลคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” เมื่อปี พ.ศ.2519-2520 หลังการ “ยึดอำนาจ” วันที่ 6 ตุลาคม 2519″

ไม่มี “ฝ่ายค้าน” ไม่มีใครมาตรวจสอบการทำงาน เมื่อเกิดเหตุการณ์ขุดคุ้ยวิพากษ์วิจารณ์ บ่งชี้ว่าคณะผู้ร่วมงานของรัฐบาลรวมทั้งข้าราชการประจำทำงานไม่ได้เรื่อง ส่อไปในทางทุจริตไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ท่านก็เงียบเฉยเหมือนเป็นการช่วยเหลือปิดบังพวกเดียวกัน ใครจะทำไม

เอาเป็นว่าเรื่องเทาๆ ดำๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่คณะของท่านนั้นใครไปแตะต้อง ไปวิพากษ์วิจารณ์ขุดคุ้ยไม่ได้ แม้แต่ในโซเชียลมีเดีย และสื่ออื่นมักจะถูกคนในเครื่องแบบยกขบวนพากันไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านพักอาศัย ไม่ก็ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีไปโน่นเลย

 

เคยมีทหาร (หญิง) ระดับนายพลเช่นเดียวกันท่านเขียนวิจารณ์แบบตำหนิติเตียนว่านายกรัฐมนตรีพูดจาไม่ไพเราะ กระโชกโฮกฮากไปถึงหยาบคาย ปรากฏว่ากลุ่มทหารไปเยี่ยมถึงบ้านเช่นกัน แต่เมื่อทราบว่าเป็นสีเดียวกัน ก็เบี่ยงเบนไปในทางขอร้อง ขอความร่วมมือเนื่องจากไม่มีอะไรไปข่มขู่ หรือไปปรับทัศนคติท่าน

ความตั้งใจเดิมจะเขียนตำหนิติเตียนด้วยความรุนแรงกับบทบาทการดำเนินการทางการเมืองของหัวหน้ารัฐบาลซึ่งพูดจาสารพัดเรื่อง แต่ไม่เคยยอมรับว่าต้องการสืบต่ออำนาจ ต้องการอยู่ยาว เมื่อมาคิดดูอีกทีเห็นว่ามันจะไม่เกิดประโยชน์อันใดเพราะถึงยังไงท่านก็ไม่ยอมรับง่ายๆ แถไปเรื่อยๆ พร้อมการกระทำอันสวนทางกับคำพูด

รับรู้รับทราบมาโดยตลอดกับนักการเมืองที่ก่อตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนให้ท่านเป็น “นายกรัฐมนตรี” ต่อไป ทั้งๆ ที่มีรัฐมนตรีหลายคนไปตั้งพรรคเดินงานอย่างเต็มกำลังโดยยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่ง มองกันอย่างธรรมดาๆ แบบคนไม่ประสีประสาทางการเมือง ก็รู้ได้ว่าเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ เป็นอย่างยิ่ง

อย่างนี้ชาวบ้านเรียกว่าด้านได้อายอด เนื่องจากใช้อำนาจทำทุกอย่างเพื่อจะเดินขึ้นไปอยู่บนจุดที่ได้เปรียบ เอาตำแหน่งทางการเมืองมาเป็นตัวล่อ เอาความเจ็บป่วย และคดีความของบุพการีหลายๆ คนมาเป็นเรื่องบีบคั้นต่อรองหว่านล้อมด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และกวาดต้อนให้เข้ามาสู่พรรคที่ตั้งกันขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้มีอำนาจต่อไป

ไม่น่าแปลกใจเอาเสียเลยกับคำว่านักการเมือง “น้ำเน่า” ทั้งหลายแหล่ นักการเมืองที่ “ไร้อุดมการณ์” นักการเมืองที่ปากบอกว่ารักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นนักประชาธิปไตย

พอเอาเข้าจริงๆ ตรงไหนก็ได้ขอให้ได้อยู่กับผู้ชนะ ขอให้มีตำแหน่ง มีที่ยืนเป็นใช้ได้?

 

ถึงตรงนี้ต้องฝากบอกกับพี่น้องประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศที่ทุกข์ระทมว่าอย่าไปเลือกนักการเมือง ผู้แทนเก่าๆ น้ำเน่า เพราะท่านเหล่านี้จะเข้าไปสนับสนุนหัวหน้ารัฐบาลคนเดิมที่มาจากการ “รัฐประหาร” ทั้งๆ ที่ใน 4 ปีกว่าที่ผ่านมาบริหารประเทศไม่เจริญรุ่งเรือง ทั้งที่มีเครื่องมือทุกอย่าง งบประมาณพร้อมสรรพ มีอำนาจเบ็ดเสร็จเต็มมือ

“เศรษฐกิจ” เงียบเชียบเหงาหงอย ประชาชนระดับล่างซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปาก พืชผลทางเกษตรหลักๆ ตกต่ำ

เมื่อมีความจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งอย่างไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น รัฐบาลก็พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง

ผู้นำรัฐบาลออกเดินสายจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ออกเยี่ยมเยียนประชาชนทั่วทุกภาค ยิ่งกว่านั้นยังเทงบประมาณลงไปช่วยเหลือคนยากคนจน ช่วยให้เงินอุดหนุนชาวสวนปาล์ม สวนยาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นในจังหวัดภาคใต้

คณะรัฐมนตรีพยายามจัดช้อปช่วยชาติในสินค้าหลายๆ ตัวพร้อมลดภาษี แจกเงินคนจนต่างๆ นานา ไม่แตกต่างกับนโยบาย “ประชานิยม” ที่เคยด่าว่ารัฐบาลอื่นๆ เขามาโดยตลอด นโยบายเหล่านี้มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นการทุ่มลงไปเพื่อการหาเสียง จะปฏิเสธอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี

เพียงแต่ว่าถ้าหากช่วยคนจนได้ต่อลมหายใจได้บ้างก็ไม่ว่าอะไรกัน แค่เตือนประชาชนผู้ยากไร้ ชาวสวนปาล์ม สวนยางพาราทั้งหลายว่าสิ่งที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นมันยั่งยืน หรือว่าเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งมันจะหมดไปเพียงแค่พริบตา และแก้ปัญหาไม่ได้เลยทั้งที่งบประมาณเหล่านั้นเป็นภาษีของราษฎรทั้งประเทศ

 

ถึงนาทีนี้ไม่มีทางจะทำอย่างอื่นไปได้นอกจากตั้งหลักกันให้ดีๆ กับการ “เลือกตั้ง” ที่จะมาถึงในเดือนที่ 2 ของปี พ.ศ.2562 เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ยากนัก คือเลือกฝ่าย “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ”

ถ้าชื่นชอบรัฐบาลปัจจุบัน ต้องการนายกรัฐมนตรีเป็นทหารเก่าที่ดุดันมาดผู้มีอิทธิพลพูดจาโผงผาง ก็เลือกไปเลยพรรค “พลัง” ทั้งหลายแหล่

แต่ถ้ารักประชาธิปไตยก็เลือกพรรคที่ขึ้นต้นว่า “เพื่อ” นั่นแหละ ให้ความสนใจติดตามข่าวสักหน่อยคงจะทราบดีเพราะสื่อมวลชนได้รายงานอยู่แล้วว่า พรรคไหน ชื่ออะไร สนับสนุนใคร?

เลือกผู้แทนฝั่ง “ประชาธิปไตย” กันไว้ก่อน ถ้าหากมันจะต้องเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีกในวันข้างหน้า เมื่อฝ่ายที่ต้องการต่อท่ออำนาจเกิดพ่ายแพ้ และจะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด จึงค่อยมา “กอดคอต่อสู้กันต่อไป” สำหรับ ส.ส.เก่าน้ำเน่าสนับสนุน “เผด็จการ” นั้น อยากฝากให้พี่น้อง “อย่าเลือก” เพื่อให้บทเรียนสั่งสอนพวกเขาสักครั้ง

คนที่อายุ 10 ขวบเมื่อปี พ.ศ.2551 ยังไม่เคยได้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง “เลือกตั้ง” ถึงปี 2562 จะมีอายุ 20-21 ปีสามารถเข้าคูหากาบัตรได้แล้ว

คนรุ่นใหม่เหล่านี้น่าจะใช้สิทธิ์เลือกนัก “ประชาธิปไตย” มากกว่าอดีตผู้แทน “น้ำเน่า”