เสถียร จันทิมาธร : อึ้งย้ง กำหนด วิถี (4)

เสถียร จันทิมาธร

อิทธิพลของเอี้ยคัง ผู้บิดา ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งต่อวิถีชีวิตของเอี้ยก่วย ผู้บุตร ในกาลต่อมาขอให้ศึกษาผ่านความรู้สึกของอึ้งย้ง

เริ่มตั้งแต่พันธะเดิมระหว่างตระกูลก๊วยกับกระกูลเอี้ย

นั่นก็คือ พี่น้องร่วมสาบานทำความตกลงกันว่า หากภายหน้าบุตรที่คลอดออกมาเป็นชายจะสาบานเป็นเฮียตี๋ หากล้วนเป็นหญิงก็สาบานเป็นเจ้ม่วย หากแม้นเป็น 1 บุรุษ 1 สตรี ก็แต่งงานเป็นสามีภรรยา

แต่พอก๊วยเจ๋งนำเรื่องเอี้ยก่วยกับก๊วยพู อึ้งย้งกลับสั่นศีรษะกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าไม่รับปาก พู้ยี้ไหนเลยยกให้เด็กผู้นี้ได้”

เมื่อรับฟังคำอธิบายและเหตุผลของก๊วยเจ๋ง บทสรุปอันรวบรัดยิ่งจากปากอึ้งย้งคือ “ข้าพเจ้ากลัวว่ามันเฉลียวฉลาดเกินไป”

ในที่สุด ยังเกี่ยวเนื่องจากเอี้ยคัง ในที่สุดยังเกี่ยวเนื่องจากบทบาทเอี้ยคัง

นั่นก็คือพฤติกรรมของเอี้ยคังที่ “ยอมรับโจรเป็นบิดา ก่อกรรมทำเข็ญอย่างชั่วช้า” ในเบื้องต้นอึ้งย้งอาจแบ่งรับแบ่งสู้ “ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบรับ ข้าพเจ้าหมายความว่าต้องดูว่าภายภาคหน้า เด็กผู้นี้รักความก้าวหน้าหรือไม่”

เป็นความหวาดระแวง เป็นความไม่ไว้วางใจ

ยิ่งเมื่อเข้าร่วมในพิธีกราบอาจารย์บนเกาะดอกท้อ เบื้องหน้าป้ายสถิตวิญญาณของ 6 ประหลาดแดนกังหนำ

อึ้งย้งยิ่งมากด้วยความหวาดระแวง ยิ่งมากด้วยความไม่ไว้วางใจ

กิมย้งบรรยายตามสำนวน น.นพรัตน์ ว่า ขณะจะถ่ายทอดเคล็ดวิชา อึ้งย้งสังเกตเห็นเอี้ยก่วยก้มศีรษะครุ่นคิด สีหน้าปรากฏแววประหลาดพิกลอย่างบอกไม่ถูก คลับคล้ายเป็นรูปเค้าของเอี้ยคังเมื่อครั้งกระโน้น

ในใจอดบังเกิดความชิงชังรังเกียจมิได้ครุ่นคิดขึ้น

“บิดาของมันแม้ไม่ได้ถูกเราฆ่าทิ้งกับมือแต่กล่าวได้ว่าจบชีวิตใต้เงื้อมมือเรา ยังคงอย่าได้เพาะเลี้ยงลูกเสือบังเกิดเป็นเภทภัย เพาะสร้างรากเหง้าแห่งมหันตภัยขึ้นในภายหน้า”

นางใช้ความคิดเล็กน้อยก็คิดอ่านได้

กล่าวกับก๊วยเจ๋งว่า “ท่านคนเดียวอบรมสั่งสอนเด็ก 4 คนออกจะลำบากเกินไป ให้ข้าพเจ้าสอนก่วยยี้แทน”

ก๊วยเจ๋งไม่ทันตอบคำ กัวติ่งอักก็ปรบมือกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“อย่างนั้นวิเศษแท้ พวกเจ้าทั้ง 2 ผู้เยาว์ประลองกัน ดูว่าผู้ใดอบรมสั่งสอนศิษย์ได้ดีกว่า”

อึ้งย้งกล่าวกับสามี “พวกเรากำหนดกฎเกณฑ์ข้อหนึ่ง ท่านไม่อาจสอนก่วยยี้ ข้าพเจ้าก็ไม่อาจสอนสั่งพวกเขาทั้ง 3 ระหว่างเด็กทั้ง 4 ยิ่งห้ามมิให้ถ่ายทอดแก่กันและกัน ไม่เช่นนั้น แนววิชาฝ่ามือสับสนวุ่นวายรังแต่เป็นผลเสีย หาได้เกิดประโยชน์ไม่”

ก๊วยเจ๋งกล่าวว่า “นี่ย่อมแน่นอน”

ก๊วยเจ๋ง กัวติ่งอัก ไหนเลยรู้เท่าทันหมากกลอันอึ้งย้งกำหนด ไหนเลยแทงทะลุถึงเนื้อแท้และความในใจอันมากด้วยความหวาดระแวง

อึ้งย้งชักนำเอี้ยก่วยเข้าสู่ห้องหนังสือ หยิบหนังสือจากแคร่เล่มหนึ่ง

“ซือแป๋เจ้ามีซือแป๋ 7 ท่านผู้คนเรียกขานเป็น 7 ประหลาดแดนกังหนำ ซือแป๋ใหญ่คือกัวกงกง ซือแป๋รองเรียกว่าบัณฑิตมือพิสดารจูชง ตอนนี้เราจะสอนวิชาฝีมือของอาจารย์คนที่ 2 แซ่จูแก่เจ้าก่อน”

พลางคลี่กางหนังสือออกท่องอ่านเสียงกังวาน

“ปราชญ์ขงจื่อมีคำสอน สรรพวิชาที่เรียนรู้ หมั่นฝึกฝนทบทวน ไยมิใช่สราญนัก มีมวลมิตรจากแดนไกลมาขอรับการสอนสั่ง มิใช่หรรษายิ่งนักหรอกหรือ”

ที่แท้หนังสือในมือนาง คือ หนังสือ “ลุ่นงื่อ”

สร้างความประหลาดใจแก่เอี้ยก่วยยิ่ง แต่มิกล้าถามไถ่มากความ ได้แต่ท่องตามนาง จดจำตัวหนังสือไว้

หลายวันต่อมา อึ้งย้งยังเพียงสอนเอี้ยก่วยอ่านหนังสือ ไม่เท้าความถึงวิชาฝีมือแม้แต่น้อย

พอเรียนหนังสือเสร็จ เอี้ยก่วยก็เดินทอดน่องบนเขาเพียงลำพัง หวนนึกถึงอาวเอี้ยงฮง ไม่ทราบตอนนี้คนอยู่ที่ใด ภายใต้ความคิดคำนึงถึงอดตีลังกาห้อยหัวกลับหมุนตัวตามแบบของอาวเอี้ยงฮงมิได้

เจตนาของอึ้งย้งมีวาระ ดำเนินไปอย่างที่เรียกกันว่า “วาระซ่อนเร้น” เพราะไม่ต้องการให้เอี้ยก่วยรู้วิชาฝีมือ ต้องการจำกัดกรอบเพียงวิชาหนังสือ จึงได้ใช้ “ลุ่นงื่อ” มาเป็น “คัมภีร์”

น.นพรัตน์ อธิบายว่า ลุ่นงื่อคือวากยกถา มีทั้งสิ้น 24 บท บันทึกชีวิตความเป็นอยู่ประจำตัวรวมทั้งคำสนทนาระหว่างขงจื่อกับศิษย์และกับบุคคลอื่นเอาไว้

ข้อความที่อึ้งย้งท่องออกมาอยู่ในบาทที่ 1