“ธีรยุทธ บุญมี” มาแล้ว ฟันธง “บิ๊กตู่” เบิ้ลนายกฯ ชูสัมปทานคะแนนเสียง ตีกระทบ “พรรคทักษิณ”

มาตามวงรอบวาระ 45 ปี 14 ตุลาฯ

นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการ นักวิจารณ์การเมือง ฉายา “จอมยุทธ์เสื้อกั๊ก” เปิดเขียงชำแหละ “มองประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ปัญหาที่ใหญ่กว่าวิกฤตการเมือง” เมื่อ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา

ครอบคลุมสถานการณ์ทุกมิติ

เนื้อหาโดยสรุประบุถึงอนาคตการเมือง ประชาธิปไตยอิทธิพลใต้อำนาจกลุ่มทุนใหญ่ วิกฤตการเมืองใหม่ เกิดความพยายามของกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่จะสถาปนาอำนาจตนเอง

ช่วง 10 กว่าปี มีการก่อตัวของกลุ่มทุนใหญ่เกือบ 10 กลุ่ม มีอิทธิพลครอบงำภาคเศรษฐกิจสำคัญเกือบทั้งหมด มีอิทธิพลครอบงำการเมือง โน้มน้าว จูงใจ บังคับให้รัฐ พรรคการเมือง ข้าราชการ สื่อ สังคมผู้บริโภคคล้อยตาม

คสช.ตั้งใจสืบทอดอำนาจตั้งแต่ล้ม “รัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์มาเป็นร่างฉบับมีชัย”

ให้พรรคการเมืองมีสิทธิเสนอชื่อ “คนนอก” เพิ่มจำนวนและอำนาจ ส.ว. 250 คน ตั้งโดยทหาร มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี

การดึงกลุ่มการเมือง “ยี้-มาร” มารวมเป็นพรรคพลังประชารัฐ การันตีเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกฯ ต่อไป

การเมืองไทยในอนาคตจึงเป็นประชาธิปไตยใต้อิทธิพลของทหาร ข้าราชการ ชนชั้นนำทางความคิดและกลุ่มทุนใหญ่ ที่มีโอกาสพัฒนาเป็นการเมืองใต้เงื้อมมือทุนอิทธิพลในที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์คงจัดตั้งรัฐบาลหน้าขึ้นได้ แต่ความชอบธรรมจะต่ำ เพราะรูปแบบการประสานประโยชน์ระหว่างพลังทหาร ข้าราชการ กลุ่มอนุรักษ์และกลุ่มทุนใหญ่ ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

คสช.ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. กกต. ปิดกั้นการตรวจสอบ

พฤติกรรมเลือกตั้งไม่ต่างจาก “ระบอบทักษิณ” ที่เอารัดเอาเปรียบก่อนเลือกตั้ง เช่น ดิสเครดิตนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามโดยอำนาจรัฐประหารที่ตนมี จับกุมดำเนินคดี เรียกมาอบรม

ไปจนถึงการแจกเงินคนจน คนแก่ ข้าราชการ ชาวไร่ ชาวสวน บัตรเครดิตคนจน แจกซิมฟรี อินเตอร์เน็ตฟรี ลดภาษี ช้อปช่วยชาติ ขึ้นรถไฟฟ้าฟรี

 

รูปแบบเลือกตั้งปี 2562 คือ การประมูลสัมปทานคะแนนเสียงเป็นรัฐบาล

คล้ายเลือกตั้งปี 2542 ที่ “พรรคทักษิณ” พัฒนาจากซื้อเสียงธรรมดาเป็นการประมูลสัมปทานเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยใช้ “ประชานิยม” ประมูลเสียงชาวบ้านอย่างได้ผล

ดูจากพฤติกรรมพรรคพลังประชารัฐ บ่งว่าจะซ้ำรอยการประมูลสัมปทานเสียงเช่นกัน

ต้องวิงวอน พล.อ.ประยุทธ์ กองทัพและนายทหารที่มีวิจารณญาณ ช่วยระงับไม่ให้ฝ่ายต่างๆ ใช้ “อภินิหารกฎหมาย” หรืออำนาจอื่น จนถึงขั้นมีเสียงกล่าวหาเป็น “การเลือกตั้งสกปรก” หรือ “โกงการเลือกตั้ง” แบบเดียวกับสมัยเผด็จการทหารปี 2500

ความชอบธรรมต่ำแม้จะชนะเลือกตั้ง ก็ต้องเจอปัญหารุมเร้าตั้งแต่เริ่มต้น

ต้องเปลี่ยนระบบคิดแบบทหาร ที่ยังหลงคิดว่าตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีสิทธิชอบธรรมทุกประการ มายอมรับความจริงของโลกปัจจุบันที่มีพลังมีความคิดหลากหลาย

ต้องปรึกษาหารือ ปรองดอง และแก้ไขกฎหมายต่างๆ ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จึงจะมีโอกาสเป็นรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ บริหารประเทศไปได้

ความขัดแย้งเหลือง-แดง กปปส. ปัจจุบันเป็นภาวะปกติ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้แต่ละฝ่ายเปลี่ยนจุดยืนอุดมการณ์ เพราะเวลาและสถานการณ์จะช่วยให้ปรับตัวให้ระบอบการเมืองดำเนินไปได้ตามสภาพเหมือนเดิม

ทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย จะไม่มีใครใช้วาทกรรมหรือนโยบายสุดขั้วมาหาเสียง ต้องหาแง่มุมวิจารณ์ผลงาน พล.อ.ประยุทธ์และสิ่งใหม่ ที่จะให้กับสังคมและประชาชน

มิติการเมืองใหม่จะประกอบด้วย 1.โซเชียลมีเดีย 2.ปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ 3.การขยายตัวพลังบวกของจิตอาสา และ 4.การแตกตัวของ “เพื่อไทย”

โซเชียลมีเดีย เครือข่ายสังคมออนไลน์ มีพลังทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจ ราชการ และรัฐบาล สนองตอบในหลากหลายประเด็น จึงเป็นความหวังในการปฏิรูปบางด้านและการต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ ก็ต่อรองให้เกิดอัตลักษณ์และพื้นที่ในพรรคใหญ่ ถึงขั้นตั้งพรรคตัวเองได้

พลังบวกของจิตอาสา เป็นพลังคนไทยยุคสมัยนี้ที่มีความเป็นปัจเจกชน ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันอาจกลายเป็นพลังสำคัญหนึ่งของสังคมไทยที่จะปฏิรูปตนเองได้

 

การแตกตัวของพรรคเพื่อไทยเป็นปรากฏการณ์ควรศึกษา

เพราะมีฐานเสียงหนักแน่นกว้างขวางมาเกือบ 2 ทศวรรษ แต่ขณะนี้แตกออกเป็นหลายพรรคย่อย มีกลุ่มการเมืองที่การตัดสินใจเป็นอิสระมากขึ้น การขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและบางครอบครัวลดลง

ถ้าพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์และทุกพรรคพัฒนานโยบายที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้อง เว้นวาทกรรมเกลียดชังสุดขั้ว จะทำให้การเลือกตั้งเดินไปด้วยดี

มีโอกาสร่วมมือกันแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยไม่ต้องเผชิญหน้าปะทะรุนแรงกับฝ่ายทหาร

นายธีรยุทธยังระบุ เกือบ 20 ปีคนไทยหมกมุ่นกับปัญหาการเมือง ปล่อยสังคมเคลื่อนตัวไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง กลไกเศรษฐกิจ สังคม ทำงานโดยไม่มีการปรับทิศทาง จึงพบปัญหาใหญ่เพิ่มขึ้นมาก

ช่องว่างคนจนคนรวยกว้างมากขึ้นจนอยู่ลำดับต้นๆ ของโลก

ความมั่นคงของประเทศ ทรัพยากรมนุษย์ด้อยประสิทธิภาพ คอร์รัปชั่นขยายตัวลงสู่รากหญ้า

กลุ่มทุนใหญ่ก่อตัวแข็งแกร่งจนมีสถานะเหนือรัฐบาลและกฎหมาย ขยายอำนาจอิทธิพลผูกขาดทางเศรษฐกิจได้เกือบเด็ดขาด ขยายมาสู่อิทธิพลด้านอื่น เข้าคุมทุกมิติเศรษฐกิจ

ทุกจังหวะชีวิตคนไทย เทียบกับการเลี้ยงไก่หรือหมู ซึ่งถูกป้อนอาหารตามชนิดและขนาดเป็นเวลา ตั้งแต่เกิดจนถูกเชือด คนไทยกำลังมีพฤติกรรมคล้ายกัน คนไทยอนาคตคือ “คนไทยซีพี” เป็นปัญหาใหญ่กว่าวิกฤตทางการเมือง

ด้านเศรษฐกิจที่ทุ่มเทกับโครงการยักษ์ ทุ่มตัวเข้าสู่ 4.0 อย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่มีความไม่พร้อม นโยบายสมาร์ตต่างๆ เกือบทั้งหมดไม่ได้ผลจริง

อีอีซีเกือบเป็นดินแดนอิสระ มีอิสรภาพด้านการใช้เงินตรา การเช่าที่ดิน 100 ปี นายทุนถือครองไว้เต็มที่ ได้ประโยชน์จากการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ นิคมอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า ดิวตี้ฟรี รถไฟฟ้า ท่าเรือ สนามบิน โลจิสติกส์ ขณะที่คนกลุ่มอื่นยังไม่ได้รับประโยชน์

ชนชั้นล่างถูกแรงบีบจากแรงงานต่างชาติ คนชั้นกลางขาดทักษะฝีมือทำงานในด้านสะเต็ม การศึกษาที่ได้รับไม่มีคุณภาพเพียงพอรองรับเศรษฐกิจดิจิตอล

คำขวัญที่ว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” จึงเป็นการก้าวเดินไปเฉพาะ “อภิสิทธิ์ชน” กลุ่มเล็กๆ คนส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์โฟกัสการพัฒนาผิดจุด ที่ทุ่มสุดตัวให้เป็น 4.0

สังคมที่มีคนรวย 1 เปอร์เซ็นต์รวยล้นฟ้า คนจนท่วมประเทศ ช่วง 20 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจมีความเหลื่อมล้ำสูง

สังคมไทยปัจจุบันมีโครงสร้างเพียงสองชนชั้นครึ่ง ต้องเปลี่ยนคำขวัญเป็น “รวยกระจุก จนกระจาย กลางกระจ้อนที่แปลว่าไม่โต แคระแกร็น”

การคอร์รัปชั่นขยายไปทุกระดับลงสู่รากหญ้า ชนชั้นกลาง ข้าราชการหันเข้าหาคอร์รัปชั่น สร้างเครือข่ายแนวราบเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับชนชั้นสูง

นำไปสู่การคอร์รัปชั่นแบบใหม่ “คอร์รัปชั่นคอนเน็กชั่น”

 

“เป็นเรื่องของนายธีรยุทธ เห็นพูดมาตลอด 40 ปีแล้ว

โธ่เอ๊ย ไปดูวิธีการต่างกันตรงไหน วันนี้บริหารประเทศต่างกันหรือไม่ เอาความคิดเดิมๆ ที่ฝังหัวอยู่มาพูดอยู่ทุกวันๆ ไม่ให้ความสนใจหรอก ถ้าดีจริงทำได้จริงทำจบมานานแล้วไม่มีปัญหาอย่างวันนี้”

คือปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ของจอมยุทธ์เสื้อกั๊ก

ขณะที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ เชื่อว่า

การปาฐกถาของนายธีรยุทธ พยายามสร้างความชอบธรรมให้การสืบทอดอำนาจ วางแผนมาเป็นระบบ ถึงกับบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะได้เป็นนายกฯ ร้อยเปอร์เซ็นต์

ทั้งที่การเลือกตั้งครั้งนี้ ถึง พล.อ.ประยุทธ์จะได้เปรียบทุกอย่าง แต่หากประชาชนพร้อมใจกันก็อาจหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจได้ แต่กลับจงใจไม่พูดถึง

ที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ใช้โครงการต่างๆ ประมูลเสียงชาวบ้านเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ เป็นการบิดเบือนความจริง จนไม่เหลือความเป็นวิชาการ

นโยบายและโครงการที่พรรคไทยรักไทยทำระหว่างเป็นรัฐบาล ไม่ใช่การแจกเงินหาเสียงเหมือนขณะนี้ แต่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของ กกต.

“ไม่น่าเชื่อว่าการพูดเพื่อส่งเสริมการสืบทอดอำนาจเผด็จการที่แฝงเร้นด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงจะเกิดขึ้นในวันรัฐธรรมนูญ จากผู้เคยเรียกร้องรัฐธรรมนูญมาก่อน” นายจาตุรนต์ระบุ

จริงอยู่ หากมองผ่านบทบาท “นักวิชาการ” และ “ผู้เคยเรียกร้องรัฐธรรมนูญ” มาก่อน ย่อมไม่น่าเชื่อ แต่หากมองผ่านบทบาท “เจ้าเก่าขาประจำ” อดีตรัฐบาลทักษิณ

ก็ไม่มีอะไรไม่น่าเชื่ออีกต่อไป