ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
2 ขั้ว ทางการเมือง
รัฐประหาร กับ การเลือกตั้ง
อนาคตประเทศไทย
ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 และก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ดำเนินไปอย่างหลายหลากมากกลุ่ม แต่พลันที่มีการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเดือนมกราคม กระทั่งนำไปสู่การรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ความขัดแย้งก็มีความคมชัด
นั่นก็คือ เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่กุมอำนาจนำจากรัฐประหารกับกลุ่มที่รวมศูนย์ผ่านพรรคไทยรักไทย
รัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ก็เพื่อบดขยี้พรรคไทยรักไทย
เห็นได้จากการทำให้พรรคไทยรักไทยแตกออกเป็นพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย เพื่อดำเนินการตามแผนบันได 4 ขั้นของ คมช.ที่จะเอาชนะในทางการเมืองหลังประสบผลสำเร็จในทางการทหารโดยกระบวนการรัฐประหาร
แต่แล้วพรรคพลังประชาชนอันเป็นความต่อเนื่องจากพรรคไทยรักไทยก็กำชัยจากการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 และแม้จะมีความพยายามบ่อนทำลายพรรคพลังประชาชนกระทั่งถูกยุบเช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทย และรวมถึงการปราบปรามในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 แต่แล้วในการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยอันต่อเนื่องจากพรรคพลังประชาชนก็ได้ชัยชนะอีก
จึงจำเป็นต้องปลุกระดม “มวลมหาประชาชน” เพื่อสร้างสถานการณ์กระทั่งนำไปสู่รัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557
กันยายน 2549
พฤษภาคม 2557
มีความต่อเนื่องระหว่างรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อย่างแน่นอน แม้ตอนแรกจะใช้พลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะที่ตอนหลังใช้พลัง กปปส. ผ่าน “มวลมหาประชาชน”
แต่เป้าหมายในการโค่นล้ม ทำลายยังเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย
จากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ก่อให้เกิดการประจันหน้ากันระหว่าง 2 กลุ่มใหญ่ในทางการเมือง
1 กลุ่มที่กุมอำนาจนำ และ 1 กลุ่มที่ต่อต้านอำนาจนำ
สถานการณ์ทางการเมืองจากก่อนเดือนกันยายน 2549 กระทั่งมาถึงภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จึงแยกจำแนกประชาชนออกเป็น 2 พวก 2 ฝ่ายที่มีความเห็นขัดแย้งและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
1 เป็นฝ่ายที่เห็นด้วยกับกลุ่มกุมอำนาจนำจากรัฐประหาร และ 1 เป็นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มอำนาจนำจากรัฐประหาร
การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 กลุ่มนี้
เป็นการต่อสู้เพื่อนำเสนอนโยบาย แนวทางในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะตัดสินใจเลือกฝ่ายใด
24 กุมภาพันธ์ 2562
ตัดสินอนาคตประเทศ
ไม่ว่าก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 การรวมขั้ว แยกขั้วทางการเมืองดำเนินไปอย่างคึกคัก
เหมือนกับ 2 กลุ่ม 2 ขั้วทางการเมืองผลัดเปลี่ยนกันครองอำนาจ
หากมองผ่านรัฐบาลพรรคไทยรักไทย หากมองผ่านรัฐบาลพรรคพลังประชาชน หากมองผ่านรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หากมองผ่านรัฐบาลพรรคเพื่อไทย หากมองผ่านรัฐบาลผ่านพรรค คสช. ก็จะมองเห็นว่า การร่วมขั้ว การแยกขั้วเกิดขึ้นตลอดเวลา
แม้จะมีความพยายามเสนอขั้วที่ 3 ขึ้นมา แต่หากตรวจสอบอย่างเข้มงวดก็จะเห็นว่า ภายในขั้วที่ 3 นั้นล้วนเคยร่วมอยู่กับขั้วที่ 1 และบางส่วนก็เคยร่วมกับขั้วที่ 2
ในที่สุดแล้วความเอนเอียงของขั้วที่ 3 ก็หนีไม่พ้นขั้วที่ 2 และขั้วที่ 1
การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 แม้จะมีพรรคการเมืองเสนอตัวมากกว่า 10 พรรค แต่ในที่สุดแล้วก็จะเหลือเพียง 2 ขั้วเท่านั้น
1 ขั้วที่จะไปร่วมกับ คสช. และ 1 ขั้วที่จะไม่เข้าร่วมกับ คสช.
การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงเป็นสงครามแย่งชิง “ประชาชน” อันมากด้วยความร้อนแรง แหลมคม และจะมีส่วนอย่างสำคัญในการกำหนดอนาคตประเทศ
นั่นก็คือ จะให้ คสช.สืบทอดอำนาจ หรือจะไม่ให้ คสช.ได้สืบทอดอำนาจ
กระบวนการ สลายขั้ว
กระบวนการ เลือกตั้ง
แม้จะมีความพยายามตกแต่งและนำเสนอนโยบายออกมาวิลิศมาหราเพียงใด แต่ในที่สุดแล้วก็จะนำไปสู่บทสรุปอันเป็นปัจจัยบังคับในทางการเมือง
นั่นก็คือ จะเลือกแนวทางใดมาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา
นั่นก็คือ แนวทางรัฐประหาร แนวทางอย่างที่ คสช.ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างอย่างเด่นชัดจากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนกุมภาพันธ์ 2561
นั่นก็คือ แนวทางตรงกันข้าม ที่อย่างน้อยก็ยึดโยงอำนาจอยู่กับการตัดสินใจเลือกของประชาชน มิใช่ด้วยกระบวนการรัฐประหารอย่างที่เห็นกันอยู่
2 แนวทางนี้คือเครื่องมือในการกำหนดอนาคตของประเทศ