จรัญ มะลูลีม : ฮัจญ์กษัตริย์ ตอนจบ – มรดกสืบทอด

จรัญ มะลูลีม

ชาวอาหรับนั้นรู้จักวิธีขุดหลุมศพอยู่สองวิธี ชาวนครมักกะฮ์ขุดหลุมให้แบนตรงก้นหลุม ส่วนชาวนครมะดีนะฮ์ขุดก้นหลุมให้โค้ง อะบู อุบัยดะฮ์ อิบนุ ญัรรอฮ์ เป็นคนขุดหลุมศพของชาวนครมักกะฮ์ ส่วนอะบู ฏ็อลฮะฮ์ ชะฮฺล์ เป็นคนขุดหลุมของของชาวนครมะดีนะฮ์ ญาติๆ ของศาสดาไม่สามารถจะเลือกได้ว่าจะเอาใครดี

อัล อับบาส ลุงของศาสดาจึงส่งคนไปเชิญคนขุดหลุมทั้งสองมาปรึกษาหารือ แต่ได้พบเพียงคนเดียวที่มาตามคำเชิญ นั่นคือ อะบู ฏ็อลฮะฮ์ ชาวนครมะดีนะฮ์ เพราะฉะนั้น เขาจึงได้รับมอบหมายให้ขุดหลุมศพของศาสดาตามที่เขารู้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาค่ำและชาวมุสลิมทั้งหลายได้อำลาศพของศาสดาไปแล้ว

พวกญาติๆ ของท่านก็เตรียมตัวฝังศพ พวกเขารออยู่จนเวลาหนึ่งในสี่หรือหนึ่งในสามของเวลากลางคืนผ่านไปก่อนจะลงมือฝัง พวกเขาได้คลี่เสื้อคลุมสีแดงที่ครั้งหนึ่งเป็นของศาสดาลงในหลุม และคนที่อาบน้ำศพให้ท่านก็ลดศพยังที่พักผ่อนครั้งสุดท้าย

พวกเขาใช้อิฐสร้างสะพานไว้เหนือศพแล้วก็ใช้ทรายถมบนหลุม ท่านหญิงอาอิชะฮ์กล่าวว่า “เราไม่รู้ถึงการฝังศพศาสดา จนกระทั่งเที่ยงคืนหรือหลังจากนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ก็รายงานเช่นเดียวกัน”

ศพของศาสดาถูกฝังในคืนวันอังคารที่ 14 เดือนเราะบีอุลเอาวัล ใน ฮ.ศ.10 หลังจากท่านสิ้นชีวิตได้สองวัน

 

ท่านหญิงอาอิชะฮ์ได้อาศัยอยู่ในบ้านเดิมต่อมาติดกับหลุมศพของศาสดา

นางรู้สึกพอใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับอาณาเขตอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เมื่ออะบูบักร์สิ้นชีวิตลง เขาก็ถูกฝังไว้ในเขตที่อยู่ติดกับหลุมศพของศาสดา ศพของอุมัร อิบนุล ค็อฏฏ็อบ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเขาสิ้นชีวิตลงในภายหลัง เล่ากันว่า ท่านหญิงอาอิชะฮ์เคยไปเยี่ยมหลุมศพศาสดาโดยไม่ได้คลุมผม จนกว่าศพของอุมัรถูกฝังไว้ที่นั้น คือระหว่างที่ตรงนั้นมีแต่หลุมศพของบิดาและสามีของนาง นางมิได้คลุมผมในเวลามาเยี่ยมหลุมศพ แต่เมื่อมีศพอุมัรมาฝังไว้ด้วยแล้ว นางจะเข้ามาในห้องเฉพาะแต่เมื่อได้แต่งหิญาบอย่างเต็มที่แล้วเท่านั้น

ในทันทีที่มีการฝังศพของศาสดาเรียบร้อยแล้ว อะบูบักร์ก็ได้สั่งให้เริ่มเคลื่อนกองทัพของอุสามะฮ์ไปบังอัชชามตามคำสั่งของศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ได้สั่งไว้ในวาระสุดท้ายของท่าน มุสลิมบางคนก็คัดค้านเหมือนอย่างที่เคยคัดค้านมาก่อนหน้านี้

อุมัรเข้าร่วมในหมู่ผู้คัดค้านด้วยโดยเหตุผลว่ากองทัพของฝ่ายมุสลิมยังไม่ควรจะจากไปในระยะที่กำลังเศร้าโศกนี้ แต่อะบูบักร์ก็มิได้รอรีในอันที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่ศาสดาสั่งไว้

เขาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อบรรดาผู้ที่แนะนำว่าควรจะแต่งตั้งผู้ที่อาวุโสกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าอุสามะฮ์ให้เป็นแม่ทัพ

อัลญุรฟ์ยังคงเป็นที่ชุมนุมกองทหารอยู่ดั้งเดิมและอุสามะฮ์ก็ยังเป็นแม่ทัพอยู่ตามเดิมด้วย อะบูบักร์ได้ออกไปส่งกองทัพด้วยตนเองเมื่อเวลาที่มีการเคลื่อนขบวน

ที่นั่นเองอะบูบักร์ได้ขอร้องให้อุสามะฮ์ยกเว้นให้อุมัร อิบนุล ค็อฏฏ็อบ จากหน้าที่ที่จะต้องไปกับกองทัพด้วย เพื่อว่าเขาจะได้อยู่ในนครมะดีนะฮ์ ใกล้ชิดกับอะบูบักร์ ผู้ซึ่งต้องการคำแนะนำของเขาในช่วงแรกๆ แห่งการบริหารนี้

หลังจากกองทัพเริ่มเดินทางไปทางเหนือได้ยี่สิบวัน ชาวมุสลิมก็เข้าโจมตีเมืองบัลกอ และแก้แค้นให้แก่ความพ่ายแพ้ของฝ่ายมุสลิมที่มุอฺตะฮ์อันเป็นที่ซึ่งบิดาของอุสามะฮ์ตกอยู่ใต้อาวุธของฝ่ายไบแซนไตน์

คำโห่ร้องในสงครามครั้งนี้ก็คือ “โอ้ชัยชนะ! จงให้ความตายแก่ข้าศึกเถิด!”

ดังนั้น อะบูบักร์และอุสามะฮ์ก็ได้ทำให้คำสั่งของศาสดาสัมฤทธิผล และกองทัพก็นำเอาชัยชนะกลับไปยังนครมะดีนะฮ์

อุสามะฮ์ขี่ม้าตัวเดียวกับที่บิดาของเขาเคยขี่ไปตายในการสู้รบที่มุอฺตะฮ์ นำหน้ากองทัพมาพลางชูธงซึ่งศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้เขาด้วยมือของท่านเองไว้สูง

 

ศาสดาทั้งหลายไม่มีมรดกเหลืออยู่

หลังจากศาสดาสิ้นชีวิต ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์บุตรีของท่านได้ขอให้อะบูบักร์คืนที่ดินที่ฟะดักและค็อยบัรซึ่งศาสดาเก็บไว้สำหรับตัวท่านเองให้แก่นาง อย่างไรก็ดี อะบูบักร์ได้ตอบนางโดยอ้างคำพูดของศาสดาเองว่า “พวกเราผู้เป็นศาสดา มิได้ทิ้งมรดกอันใดไว้ให้ผู้ใด สิ่งใดก็ตามที่เราทิ้งไว้จะต้องยกให้เป็นการกุศลไป”

อะบูบักร์ได้พูดต่อไปด้วยถ้อยคำของเขาเองว่า “อย่างไรก็ตาม ถ้าในกรณีนี้บิดาของนางได้มอบทรัพย์สินนี้ให้แก่นาง ดังนั้น แน่นอนฉันจะให้เกียรติแก่คำพูดของนาง และทำให้คำสั่งของท่านที่มีต่อนางได้สำเร็จผล”

เมื่อได้ยินดังนี้ฟาฏิมะฮ์ก็ตอบว่า “บิดาของนางมิได้เคยเอ่ยปากยกที่ดินนั้นให้แก่นางเลย เพียงแต่อุมมุอัยมันได้บอกนางว่า ความมุ่งหมายของศาสดามุฮัมมัดอาจจะเป็นดังนั้นก็ได้” เพราะฉะนั้น อะบูบักร์จึงได้ตัดสินว่าที่ดินที่ฟะดักและค็อยบัรควรจะถูกกองคลังสาธารณะของชาวมุสลิมเก็บไว้เป็นที่ดินของรัฐ

 

มรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของศาสดา

ดังนั้น ศาสดามุฮัมมัดจึงได้ละโลกนี้ไปเหมือนดังที่เคยเข้ามาโดยไม่มีโซ่ตรวนทางวัตถุถ่วงไว้

มรดกอันเดียวที่ท่านทิ้งไว้ให้แก่มนุษยชาติก็คือ ศาสนาแห่งความจริงและความดี

ท่านได้ปูพื้นฐานและสร้างรากฐานไว้สำหรับอารยธรรมอิสลามซึ่งครอบคลุมโลกเรามาในอดีตและจะครอบคลุมโลกต่อไปในอนาคต

นั่นคืออารยธรรมที่มีเตาฮีด หรือความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเสาหลักและมีระเบียบซึ่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า และคำบัญชาของพระองค์เป็นสิ่งสูงสุด

ส่วนถ้อยคำและคำสั่งของผู้ไม่ศรัทธาอยู่ล่างสุด มันคืออารยธรรมที่ได้รับการชะล้างจนสะอาดปราศจากลัทธิป่าเถื่อนทั้งหลายและปราศจากรูปแบบและการแสดงออกของการบูชารูปเจว็ดทุกอย่าง เป็นอารยธรรมที่มนุษย์ได้รับการเรียกร้องให้ร่วมมือซึ่งกันและกันเพื่อความดีงามและความผาสุกทางด้านศีลธรรมของปวงชน มิใช่เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดหรือบุคคลใด

ศาสดามุฮัมมัดได้มอบพระคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้า อันเป็นทางนำและเป็นความเมตตาไว้ให้แก่มนุษยชาติ ในขณะที่ความทรงจำในเรื่องชีวิตของท่านเองนั้นเป็นตัวอย่างที่สูงส่งและดีงามที่สุดสำหรับให้ผู้คนแข่งขันกันทำดี

คำสอนตอนหนึ่งที่ศาสดามุฮัมมัดได้ให้แก่ผู้คนในระหว่างที่ท่านป่วยอยู่นั้นบรรจุถ้อยคำดังต่อไปนี้

“โอ้ผู้คนทั้งหลาย หากฉันเคยโบยหลังผู้ใด ก็ขอให้ผู้นั้นออกมาโบยหลังฉันเป็นการตอบแทนเถิด ถ้าฉันเคยด่าว่าหมิ่นประมาทผู้ใด ก็ขอให้เขาก้าวออกมาด่าว่าหมิ่นประมาทฉันให้สะใจเถิด ถ้าฉันเคยปลดเปลื้องเอาทรัพย์สมบัติของผู้ใดไป ก็ขอให้เขาออกมายึดทรัพย์สินไปจากฉันเถิด เพราะฉันไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้เลย”

มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ก้าวออกมากล่าวว่าศาสดาเป็นหนี้เขาอยู่สามดิรฮัม ศาสดามุฮัมมัดจึงจ่ายหนี้ให้เขาบนเตียงที่ท่านนอนป่วยอยู่นั้นจนครบจำนวน

ศาสดาได้ทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่โลกนี้ ซึ่งแสงสว่างของมรดกนั้นยังคงให้ความสว่างแก่โลกต่อไป และจะส่องสว่างต่อไปอีกจนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้คำมั่นสัญญาของพระองค์สัมฤทธิผลอย่างเต็มที่และประทานชัยชนะแก่ศาสนาของพระองค์ ทั้งๆ ที่ยังมีผู้ไม่ศรัทธาทั้งหลายอยู่

ขอให้ความสันติและความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าจงประสบแด่ศาสดามุฮัมมัดด้วยเถิด!