เผาบ้านไล่หนู! (อีกแล้ว)

ขณะที่เรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตามประกาศของ ป.ป.ช. ยังหาทางออกไม่ได้

กลายเป็นเรื่องพะอืดพะอมของคนมีตำแหน่ง แต่ไม่อยากแสดงทรัพย์สิน

โวยวายกันสนั่น ว่าเสียสละมาทำงาน แล้วมาไล่เบี้ยกันทำไม

ทำให้ตอนนี้ คนมีตำแหน่งส่วนหนึ่งลาออกจากตำแหน่ง

ขณะที่ ป.ป.ช.ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ด้วย “ธง” นำที่ชูมาแต่ต้น นั่นคือ “ป้องกันการโกง”

จึงเขียนกฎหมายตั้งแต่สูงสุดคือ รัฐธรรมนูญลงมาจนถึงประกาศ ป.ป.ช. เข้มงวดสุดๆ

หวังจะให้คนโกงโดยเฉพาะพวกนักการเมืองสามานย์ กระดิกกระเดี้ยไม่ได้

แต่ที่สุด คนที่ได้รับผลกระทบชนิดรับไม่ได้ ก็ล้วนคนดี คนกันเอง ทั้งนั้น

เรื่องนั้นยังไม่สิ้นกระแสความ

ก็มีเรื่องใหม่มาอีก

เมื่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเมื่อ 4 ธันวาคม ผ่านร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ท่วมท้น 149 ต่อ 0 งดออกเสียง 3

ท่ามกลางความสะอกสะใจ และคาดหวังว่า จะได้แก้เผ็ดพวกหนีคดีอาญาทั้งหลาย

ซึ่งระหว่างบรรทัด ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร

เหตุแก้ไขกฎหมายนี้ ก็เพื่อแก้ลำ 2 พี่น้อง นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเอง

สาระสำคัญของการแก้ไข อยู่ที่มาตรา 5

ที่ระบุ ห้ามผู้ที่ถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกหรือปรับ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม เช่น หลบหนีไป บุคคลผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิไม่ให้มาฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้อีก

กรรมาธิการวิสามัญที่พิจารณาเรื่องนี้ ประกาศกลางสภาอย่างภาคภูมิว่า

“กฎหมายไม่ควรให้สิทธิผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา”

ฟังเผินๆ แล้วก็น่าจะดี

ตัวอย่าง นายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนีคำพิพากษา ที่เสมือนไม่ยอมรับคำพิพากษา แต่เวลามีใครมาสร้างผลกระทบ หรือหมิ่นประมาท ก็มักตั้งทนายมาไล่ฟ้องคนอื่น

เป็นพวกพูดอย่าง ทำอีกอย่าง

จึงสมควรริบสิทธิฟ้องร้องคนอื่นเสีย

ซึ่งก็น่าจะเป็นธรรม

แต่อาจลืมนึกไปว่า หากวันข้างหน้า พวกสามานย์ทั้งหลายที่ว่า กลับมาครองอำนาจ

แล้วใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรมผ่านกระบวนการยุติธรรม ไล่รังแก “คนดี” ทั้งหลายจนอยู่ไม่ได้

ถ้าอยู่ก็อาจคิดคุกติดตะราง

จำเป็นต้อง “หนี”

และจำเป็นต้องตั้งตัวแทนฟ้องคดีเพื่อปกป้องและเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเองและพวก

แต่ก็มาเจอ “ข้อห้าม” จากความาปรารถนาดีของ สนช.ชุดนี้เข้าไป

ทำอะไรไม่ได้

แล้วทีนี้จะมีช่องให้สู้กันอย่างไร

เข้าทำนอง วิชั่นสั้น แบบเผาบ้านไล่หนู

อย่างไร้เดียงสาอีกแล้ว!