วิเคราะห์ : “พรรคพลังสีเขียว” ทำงานหนัก! รู้ทัน “พลังประชารัฐ” เจาะแผนจรยุทธ์ “ดูด แอนด์ ดีล”

ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ยืดอกรับ “พรรคพลังประชารัฐ” เป็นตัวเลือกหนึ่งในการลงสู่สนามการเมืองต่อ

หลัง “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รองหัวหน้าพรรค ระบุจะเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” อันดับหนึ่งของพรรค

ส่วนอีก 2 ชื่อต้องรอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค หลัง พล.อ.ประยุทธ์ได้ระบุสิ่งประกอบการตัดสินใจคือ พรรคใดที่จะสานงานต่อ ถือมีส่วนในการเลือกตัดสินใจ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐก็มี 4 รัฐมนตรีเป็นแกนนำพรรค

“เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา ซึ่งพรรคใดก็ตามที่ทำงานสอดคล้องกับที่ทำอยู่วันนี้ หากตนตัดสินใจเข้าไปสู่การเมือง ก็ต้องสนับสนุนพรรคเหล่านี้ เพราะทำงานให้ตนทำต่อ แต่จะเป็นนายกฯ หรือไม่นั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะกลไกไม่ใช่เลือกผมแล้วจะได้เป็น เนื่องจากต้องมีการพิจารณาในสภา ซึ่งจะยอมรับกันหรือไม่ ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ระบุ ยังไม่ถูกพรรคใดมาทาบทามอย่างเป็นทางการ

ซึ่งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์เคยระบุว่า ขอให้พรรคที่จะเสนอชื่อมาคุย ไม่ใช่ไปประกาศผ่านสื่ออย่างเดียว

เชื่อว่าความเคลื่อนไหวเรื่อง “แคนดิเดตนายกฯ” จะชัดเจนหลังจาก พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ประกาศใช้ช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่ คสช. “ปลดล็อกพรรค” ด้วย

หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปลายปี 2560 กระแสการตั้ง “พรรคทหาร” เริ่มดังขึ้น หลัง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. กล่าวถึง “ความจำเป็น” ในการตั้งพรรค คสช.ขึ้น แม้จะไม่ได้ยืนยันฟันธงชัดเจน แต่ก็เป็น “สัญญาณเริ่มแรก” ของพรรคทหารหรือนอมินี คสช. ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ทำไมจะต้องยืนยันล่ะ ก็ คสช.ไม่ยุ่งการเมืองอยู่แล้ว แต่ถ้าจำเป็นต้องตั้ง ก็ต้องตั้ง ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องตั้ง” พล.อ.ประวิตรกล่าวเมื่อพฤศจิกายน 2560

ซึ่ง “บิ๊กป้อม” เคยยืนยันในช่วงเวลานั้นว่า ไม่มีไปดีลการเมืองกับใครและไม่มีให้ใครแอบไปตั้งพรรค ผ่านมาไม่กี่เดือน มีนาคม 2561 ก็ได้กำเนิดพรรคพลังประชารัฐขึ้น หลังไปขอจดจัดตั้งพรรคกับทาง กกต. นำโดย “ชวน ชูจันทร์” ที่แม้ชื่อจะโลว์โปรไฟล์ แต่ก็กลับดังเพราะชื่อพรรค “พลังประชารัฐ” ซึ่งเป็นที่รู้กันแล้วว่า “เขามาแล้ว” เพราะชื่อไปคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหรือม็อตโต้ที่ “บิ๊กตู่” ตั้งขึ้นคือ “ประชารัฐ” ที่นำมาใช้สู้กับ “ประชานิยม” นั่นเอง

ผ่านมาช่วงกลางปี 2561 ท่ามกลางกระแสข่าว “พลังดูด” หลังอดีต “นักการเมืองภูธร-ตระกูลท้องถิ่น” เริ่มซบอกร่วมงานกับรัฐบาล

เริ่มจากภาพถ่าย “บิ๊กตู่” ไปออกรอบตีกอล์ฟกับ “ตระกูลสะสมทรัพย์” ซึ่งในภาพนั้นปรากฏมี “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เพื่อนรัก ตท.12 และ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ สมัยเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. เต็งหนึ่ง ผบ.ทบ.ในเวลานั้น ทำให้เป็นกระแสไม่น้อย

รวมทั้งการลงพื้นที่ ครม.สัญจรของ “บิ๊กตู่” ที่จะปิดท้ายด้วยการพบปะและพูดคุยกับ “นักการเมืองภูธร-ตระกูลท้องถิ่น” จนเป็นกระแสโจมตีหนัก ทำให้ยกเลิกภารกิจนี้ในช่วงระยะหลังไป

แต่ที่ฮือฮาไม่น้อยคือ การลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ หรือเนวินซิตี้ ที่จัดชาวบ้านต้อนรับยิ่งใหญ่ พร้อมให้ “บิ๊กตู่” ขับบิ๊กไบก์โชว์ งานนี้ทุ่มโดย “เนวิน ชิดชอบ” แถมมี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หน.พรรคภูมิใจไทย เคียงข้าง

แต่ “พลังดูด” ที่เห็นชัดแรกๆ คือ “ตระกูลคุณปลื้ม” เข้าสู่ตำแหน่งในรัฐบาล ทั้ง “อิทธิพล คุณปลื้ม” ที่มานั่งเป็นกรรมการผู้ช่วย รมว.การท่องเที่ยวฯ และ “สนธยา คุณปลื้ม” นั่งที่ปรึกษานายกฯ ด้านการเมือง ก่อนจะมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ตั้ง “สนธยา” เป็นนายกเมืองพัทยาแทน

ต่อมา “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ แกนนำ กปปส. ก็มานั่งรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง ก่อนนั่งตำแหน่ง “โฆษกรัฐบาลป้ายแดง” แทน “เสธ.ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่เตรียมไปโตที่กรมประชาสัมพันธ์แทน เพราะนั่งรักษาการแทนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อยู่นานแล้ว

ซึ่งในการเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง “อิทธิพล-พุทธิพงษ์” ก็ไปร่วมงาน ไม่นับรวมอดีตแกนนำ กปปส. อย่าง “สกลธี ภัททิยกุล” ที่ “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ตั้งเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. อย่าลืมว่า “บิ๊กวิน” มาด้วยตำแหน่ง ม.44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ และปลด “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯ ไปด้วย รวมทั้ง “ณัฐพล ทีปสุวรรณ” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. ก็มานั่งเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐด้วย

รวมทั้งการเดินเกมของ “กลุ่มสามมิตร” นำโดย “2 ส.” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน และภิรมย์ พลวิเศษ รวมกำลังเดินสายภาคอีสาน-เหนือ ที่ถูกมองว่าไปดูดอดีต ส.ส.มาร่วมทัพพลังประชารัฐ ซึ่งในเวลานั้นก็ยังไม่เผยชัดจะมาร่วมกับพลังประชารัฐหรือไม่ แต่ดูจากอาการแล้วคงไม่คลาดจากกัน แม้อดีต ส.ส.ที่ไปดูดมาจะถูกมองเป็น ส.ส.แถวสอง แถวสาม หรือ ส.ส.สอบตกก็ตาม

แต่ทั้งหมดก็เป็นคะแนนเสียงได้หมด เพราะรอบนี้เลือกตั้งใช้บัตรใบเดียว ไม่มีคะแนนเสียเปล่า ซึ่งพรรคพลังประชารัฐก็หวัง “คะแนนเททิ้งน้ำ” มานับในบัญชีรายชื่อด้วย

รวมทั้งมีการวิพากษ์วิจารณ์หนักว่า “พลังดูด แอนด์ ดีล” ที่เกิดขึ้น มีการ “ต่อรอง” ทั้งเรื่อง “คดีความ” และการแลกเปลี่ยน “ผลประโยชน์” ต่างๆ ลงตัว

แต่อย่าลืมว่า ทั้ง “สุริยะ-สมศักดิ์” ต่างเคยเป็นรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และทำงานร่วมกับ “รองนายกฯ สมคิด” จึงถือเป็น “3 ส.” ที่ “รู้มือ-รู้ทัน” อดีตนายกฯ ทักษิณไม่น้อย

จึงเชื่อได้ว่าหากพรรคพลังประชารัฐเปิดนโยบายพรรค จะสามารถสร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย

ซึ่งที่ผ่านมา “สามมิตร” ก็ทำหน้าที่ “เสียงกระซิบ” บอกรัฐบาลว่าควรทำอะไร ผ่านการลงพื้นที่รับฟังปัญหากลุ่มอาชีพต่างๆ และพูดผ่านสื่อออกมา

สิ่งที่ประมาทไม่ได้ของ “พลังประชารัฐ” คือ กลุ่มนิวเจน ที่แตกต่างจากพรรคอื่นๆ ที่มีราว 50-60 คน ได้ระดมสมองกันไปหลายครั้งและแยกกันเดินสาย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ลูกหลานนักการเมือง แต่เป็น “นักธุรกิจ-สตาร์ตอัพ” หรือผู้บริหารในภาคเอกชน หรือ CEO ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40 ปี จึงพร้อมด้วยประสบการณ์และมีผลงานรับประกัน

ทำให้เวลานำเสนอนวัตกรรมหรือนโยบายจะเห็นภาพชัด ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม “นิวเจน” ในพรรคอื่นๆ ที่เป็น “ลูกหลานนักการเมือง” หรือ “เพิ่งเรียนจบใหม่” รวมทั้งถูกมองเป็น “เอ็นจีโอ” หรือ “ชาวฮิปสเตอร์” ที่เวลาพูดถึงนวัตกรรมหรือนโยบายเศรษฐกิจ จะมองไม่ขาดแบบพวกที่เป็น “ซีอีโอ” ที่มองเศรษฐกิจมหภาคหรือจุลภาคได้ทะลุกว่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายที่มากับ “พุทธิพงษ์” และ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” โฆษกพรรค

ล่าสุดมีกระแสข่าว “บิ๊กป้อม” ต่อสายคุย “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” อดีตเลขาฯ ประชาธิปัตย์ ทาบทามมาร่วมตั้งรัฐบาล พร้อมดัน “บิ๊กตู่” ต่อรองให้นั่ง รมต.กระทรวงเกรดเอ

ทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องออกมาปฏิเสธข่าวทันทีว่าไม่จริงและไม่ได้เจอกับนายเฉลิมชัย ไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ยอมรับว่าเคยเป็นรัฐบาลร่วมกับประชาธิปัตย์มา 3 ปี ก็รู้จักกัน แต่วันนี้ไม่มีเบอร์โทร.กันแล้ว

แถมก่อนหน้านี้มีเสียงจากนักการเมืองในพลังประชารัฐออกมากระพือข่าวอ้าง “เด็กบิ๊กป้อม” ไปดูดอดีต ส.ส.อีสานมาร่วมพรรคไม่พอ ยังเข้าไปยุ่มย่ามในพรรคอีก ทำให้ “บิ๊กป้อม” ไล่ถามสื่อที่ว่า “เด็กป้อม” คือใครไม่หยุด

“ไม่จริง ใคร คนไหน ชื่ออะไร แต่เราสนิทกับทุกคนในกองทัพ คนอ้างชื่อ ไอ้โจ๊กก็ถูกอ้าง ก็ไปจับมาแถลงข่าวแล้ว ก็เขาอ้างจะทำยังไงได้ จะไปเชื่อทำไม” พล.อ.ประวิตรกล่าว

แถมช่วงกลางปีก็มีข่าวว่า “บิ๊กทหาร ทภ.2” ไปดูด ส.ส.อีสานมาร่วมพรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง “บิ๊กป้อม” ก็ย้ำว่า ตนไม่เคยไปสั่งให้เสนอผลประโยชน์แลกเปลี่ยนใดๆ และตนไม่เกี่ยวข้อง

และมีเสียงฝ่ายการเมืองอ้างอีกว่า “บิ๊กป้อม” เปิดมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ ใน ร.1 รอ. ให้อดีต ส.ส.มาพบด้วย ซึ่ง พล.อ.ประวิตรตอบสั้นๆ ว่า “บ้านผมไม่มี”

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “พรรคพลังประชารัฐ” ถูกปูทางมากว่า 1 ปีเต็ม ปรากฏการณ์แต่ละช่วงเวลา มีทั้ง “ภารกิจลับ-เปิด” เพื่อ “ฟอร์มทีม” ให้พร้อมศึกเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 ตามที่รัฐบาล-คสช.ตั้งใจ เพราะยิ่งทอดเวลาออกไปนานเท่าใด จะยิ่งทำให้ “เรตติ้งตก” และส่งผลต่อการ “ตัดสินใจ” ของประชาชนไปถึงพรรคด้วย

ยังไม่นับรวมช่วง “ลดแลกแจกแถม” ของรัฐบาล ในการอนุมัติงบฯ ช่วง “โค้งสุดท้าย” ของรัฐบาล ที่ดูเหมือนถูกตั้งเวลามาอย่างดี

ภาพ “พรรคพลังสีเขียว” ทำงานหนัก จงอย่าประเมินต่ำเกินไป!!