เสถียร จันทิมาธร : ไร้ญาติ ขาดมิตร (2)

เสถียร จันทิมาธร

ไม่ว่าจะมองผ่านกระบวนการ “ก่อกำเนิด” ไม่ว่าจะมองผ่านกระบวนการ “เกิด” ไม่ว่าจะมองผ่านกระบวนการ “ตามมา”

อาจสรุปได้ว่า “ไม่น่าเลย”

หากศึกษาผ่านวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีอ้างอิงโดยบทประพันธ์เรื่อง “จอมยุทธ์คู่อินทรีเทพยดา” ได้บรรยายไว้ว่า ครั้งนั้นมกเนี่ยมซื้อเสียความบริสุทธิ์ให้แก่เอี้ยคังบนยอดเขามือเหล็กแล้วในที่สุดก็ได้ตั้งท้อง

นั่นก็คือ ตอน “ก่อกำเนิด”

แต่เอี้ยคังผู้บิดาก็มาเสียชีวิตก่อนที่เอี้ยก่วยจะเกิด เมื่อมกเนี่ยมซื้อคลอดเด็กชายก๊วยเจ๋งซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเอี้ยอังจึงได้ตั้งชื่อให้ว่าเอี้ยก่วย

“ข้าพเจ้าและบิดาของทารกนี้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แต่น่าเสียดายที่ผลบั้นปลายชีวิตของเขาไม่ดี ข้าพเจ้าไม่สามารถแสดงคุณธรรมแห่งมิตรภาพได้เต็มที่ จึงขอตั้งชื่อหนูน้อยนี้ว่าก่วย ชื่อรองว่าเก้ยจือ ขอจงเป็นผู้อุทิศตนเพื่อคุณธรรม”

ความหมายของ “ก่วย” ในภาษาไทยก็คือ “ผิดพลาด”

ความหมายของ “เก้ยจือ” ในภาษาไทยก็คือ “ปรับปรุงตัว”

เห็นหรือไม่ว่าแม้กระทั่งคำว่า “ก่วย” ก็สะท้อนถึงปมอันดำรงอยู่ตั้งแต่บิดามาถึงบุตร เห็นหรือไม่ว่าแม้กระทั่งคำว่า “เก้ยจือ” ก็เท่ากับเป็นการกดดัน บีบบังคับ และเรียกร้อง

กระนั้น การตายของเอี้ยคังผู้บิดาของมันก็มากด้วยเงื่อนงำ

ดังมันเคยระบายให้แม่นางอ้วงง้วนเพี้ยรับทราบตั้งแต่เมื่อแรกพบกัน

เอี้ยก่วยกุมมือนางนั่งเคียงคู่กับนางอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กล่าวว่า

“ต่อให้ข้าพเจ้าฝึกปรือฝีมือได้จะมีประโยชน์ใด ตอนนี้ท่านแม้ไม่อาจล้างแค้นยังทราบว่าศัตรูเป็นใคร ภายหน้าไหนเลยไม่มีโอกาส ข้าพเจ้าเล่ากระทั่งบิดาข้าพเจ้าเสียชีวิตอย่างไรยังไม่ทราบ เป็นผู้ใดทำร้ายท่านผู้เฒ่าก็ไม่ทราบ เรื่องล้างแค้นชำระอาฆาตล้วนไม่ต้องเอ่ยถึง”

อ้วงง้วนเพี้ยงงงันวูบหนึ่ง กล่าวว่า “บิดามารดาท่านก็ถูกผู้คนทำร้ายถึงแก่ชีวิตหรือ”

เอี้ยก่วยทอดถอนใจกล่าวว่า “มารดาข้าพเจ้าล้มป่วยเสียชีวิต บิดาข้าพเจ้ากลับตกตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ข้าพเจ้าไม่เคยพบหน้าบิดาข้าพเจ้ามาก่อน

ขณะที่มารดาให้กำเนิดข้าพเจ้า บิดาข้าพเจ้าก็เสียชีวิตแล้ว ข้าพเจ้ามักเรียนถามมารดาข้าพเจ้าว่าบิดาที่แท้เสียชีวิตอย่างไร ศัตรูคู่แค้นที่แท้เป็นใคร ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าถามถึง มารดาเอาแต่หลั่งน้ำตา ไม่ตอบคำ ภายหลังข้าพเจ้าไม่กล้าถามอีก ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่กล้าครุ่นคิด รอจนข้าพเจ้าสูงวัยกว่านี้ค่อยถามไถ่ยังไม่สาย คิดไม่ถึงมารดาพลันล้มป่วยเสียชีวิต มารดาก่อนตายข้าพเจ้าถามถึงอีก มารดาเอาแต่สั่นศีรษะกล่าวว่า

“บิดาเจ้า บิดาเจ้า โอ เด็กเอย ชั่วชีวิตของเจ้านี้อย่าคิดหมายล้างแค้น เจ้ารับปากมารดาอย่าได้คิดล้างแค้นแทนบิดา” ข้าพเจ้าทั้งเศร้าสลดทั้งลำบากใจร้องดังๆ ว่า “ข้าพเจ้าไม่รับปาก ข้าพเจ้าไม่รับปาก” มารดาข้าพเจ้าพลันสิ้นลมปราณลาโลกไปในลักษณะนี้

“โอ ท่านเห็นข้าพเจ้าควรทำอย่างไรดี”

ยิ่งเมื่ออ้วงง้วนเพี้ยถามว่า “เป็นผู้ใดชุบเลี้ยงท่านจนเติบใหญ่” ทำนบอันเคยขวางกั้นก็พังทลายภายในพริบตาพลัน

“ยังมีผู้ใด” คำตอบมาพร้อมกับคำถาม

“ย่อมเป็นข้าพเจ้าเลี้ยงดูตัวเอง หลังจากที่มารดาข้าพเจ้าเสียชีวิต ข้าพเจ้าก็เที่ยวระหกระเหินในยุทธจักร ขออาหารในที่นี่มื้อหนึ่ง พักค้างแรมในที่นั้นคืนหนึ่ง บางครั้งหิวโหยจนทนทานไม่ได้ ขโมยผลแตง มันเทศของผู้อื่นมารับประทาน มักถูกผู้คนจับได้ทุบตีเป็นการใหญ่ ท่านดูที่นี่มีรอยแผลเป็นมากหลาย กระดูกในที่นี้โผล่ออกมาล้วนเกิดจากเมื่อวัยเด็กถูกทุบตีทำร้าย”

ทางหนึ่งกล่าว ทางหนึ่งม้วนแขนเสื้อขากางเกงให้ดู ภายใต้ประกายดาวเลือนรางอ้วงง้วนเพี้ยไม่อาจเห็นชัดถนัดตา เอี้ยก่วยจับมือของนางลูบคลำรอยแผลเป็นที่น่องของเขา พบรอยแผลเป็นตะปุ่มตะป่ำเท้าของเอี้ยก่วยอดสลดใจมิได้

หวนนึกถึงนางแม้ประสบชะตากรรมสิ้นชาติแต่บิดามีบริวารเก่าไม่น้อย ยังมีทรัพย์สินเงินทองมากมายสุดคณานับ หากเปรียบกับชาติกำเนิดของเอี้ยก่วย นางนับว่าโชคดีกว่ามากนัก

ทั้ง 2 นิ่งเงียบงันชั่วขณะ

ต้องถือว่าชะตากรรมของเอี้ยก่วยลำเค็ญและเข็ญใจ ลำเค็ญเพราะว่าไม่เพียงไม่เคยเห็นหน้าบิดา หากการตายของบิดามากด้วยเงื่อนงำ เข็ญใจเพราะไม่นานมารดาก็ตายจากไป

จึงไม่เพียงแต่ไร้บิดา ไร้มารดา หากดำรงอยู่ในสภาวะแห่งไร้ญาติ ขาดมิตร ระเหเร่ร่อน ค่ำไหนนอนนั่น ปากกัดตีนถีบ

รอดมาได้กระทั่งได้พบแม่นางอ้วงง้วนเพี้ยก็ถือว่า “บุญ” อย่างยิ่งแล้ว