ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ธันวาคม 2561 |
---|---|
ผู้เขียน | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร |
เผยแพร่ |
สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
—————-
น้ำตาแผ่นดิน
————————–
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)นำสิ่งที่ได้จากการเดิน “คารวะแผ่นดิน”
ในพื้นที่กทม. ภาคใต้ และภาคกลางบางส่วน
มาบอกกล่าวสาธารณะ
ด้วยชี้ว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจ กำลังรุมเร้าอย่างหนัก
โดยต่างจังหวัดนั้น
นายสุเทพ ใช้คำว่า “สาหัส”
หากไม่แก้ปัญหาจะทำให้เศรษฐกิจฟุบ
แล้ว”ใครไม่แก้ปัญหา”
–นั้นต้องย้อนกลับไปถาม “รัฐบาลของเรา”ที่นายสุเทพ สนิทสนม เพราะบริหารประเทศ มา4-5 ปี
พร้อมยังมีคำถามอีกว่า นายสุเทพ มีเป้าประสงค์อะไรสำหรับการฟ้องต่อสังคมในกรณีนี้
หลายคนอาจมองว่านี่เป็น”ปฏิบัติการ”อีกครั้งในการเรียกร้องความสนใจจาก “คนกันเอง(ของนายสุเทพ)”
ด้วยทราบกันดี ตอนนี้ รปช.หายไปจาก”เกม”แห่งการชิงอำนาจอย่างน่าสังเกตุ
ขณะที่ ทีมเศรษฐกิจ 4 กุมาร ที่น่าจะมีส่วนรับผิดชอบกลับ โดดเด่นและโตวันโตคืนในพลังประชารัฐ(พปชร.)
ตรงกันข้ามกับที่รปช.ที่ประกาศหนุนและยืนเคียงข้างผู้มีอำนาจมาตั้งแต่ต้น ส่อที่จะหลุดวงจรมากขึ้นทุกที
นายสุเทพจึงอาจจะข้องใจว่าทำไมอุ้มชูเฉพาะ พปชร.
รปช.ต่างหากที่ลงไปสัมผัสความจริง ควรจะได้รับการเอาใจใส่
คนจำนวนหนึ่งจึงประเมิน “เป้า”ที่นายสุเทพออกโรงครั้งนี้ ก็เพื่อมิให้รปช.”ตกขบวนแห่งอำนาจ”
“เราได้ร่วมรัฐบาลแน่”ยังนาจะเป้นเป้าหมายสูงสุดที่ดำรงอยู่ และควรจะได้รับเอาใจใส่จากฝั่งฟากผู้มีอำนาจต่อไป
วิเคราะห์เช่นนั้นก็ดูมีเค้า
แต่อาจจะประเมินนายสุเทพ ในทางร้ายไปหน่อยไหม
เพราะว่าที่จริง สิ่งที่นายสุเทพ นำเสียงแห่งแผ่นดิน มารายงานต่อสังคม ใครจะปฏิเสธว่าไม่จริง
คำว่า”สาหัส” พอจะสัมผัสได้
ยิ่งเมื่อไปอ้างอิงกับกับรายงานเศรษฐกิจที่เป็น”วิชาการ”
นับตั้งแต่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยว่า ในปี 2561
ครัวเรือนไทยมีหนี้เฉลี่ย 316,623 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.8%
เป็นสัดส่วนหนี้ในระบบ 64.7% และหนี้นอกระบบ 35.3%
ปัจจัยที่ทำให้ปริมาณหนี้สินเพิ่มขึ้นฃมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ราคาสินค้าเกษตรหลายตัวฃอยู่ในระดับต่ำ, ค่าครองชีพสูง
ซึ่งก็สอดคล้องกับ ข้อมูล “คาระแผ่นดิน”ชนิดเป็นเนื้อเดียวกัน
ขณะที่ นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำ
ปรากฏว่าไทยถูกจัดอันดับ 1 ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก
ตามข้อมูลของ CS Global Wealth Report 2018 ที่ออกมาเมื่อเดือนตุลาคม
ปรากฏกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (2016) คนไทย 1% มีทรัพย์สินรวม 58.0% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ
มาปีนี้(2018)คนไทย 1% มีเพิ่มเป็น 66.9% รวยขึ้นมหาศาล
ขณะที่คนไทยที่จนสุด 10% มีทรัพย์สิน 0% (จริงๆ
ถ้านับ 50% (25 ล้านคน)ก็ยังมีทรัพย์สินแค่ 1.7%
และถ้าเอา 70% (35 ล้านคน) ก็เพิ่มทรัพย์สินไปเป็นแค่ 5%
“ไอ้ 1% มันเอาไปหมด …สะท้อนว่า คนครึ่งประเทศ เป็นพวก”หาเช้ากินค่ำ”หรือไม่ก็”เดือนชนเดือน” ไม่มีเหลือเก็บเหลือออม”
นายบรรยง พงษ์พานิชระบุ
ปรากฏว่ามีการตอบโต้จากฝ่ายรัฐบาลหลายฝ่าย
โดยเฉพาะสภาพัฒน์ อ้างว่าเป็นตัวเลขเก่า และใช้การเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วตัวเลลขจึงบิดเบือน
สถานการณ์เหลื่อมล้ำจึงไม่ได้สูงสุดในโลก ตัวเลขธนาคารโลกก็ไม่ได้ชี้เช่นนั้นและชี้วามเหลื่อมล้ำของไทยดีขึ้น
แต่ในท่ามกลางการตอบโต้นั้น
ไม่มีใครปฏิเสธว่าไทยไม่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ และยังอยู่ในระดับสูง
จำเป็นต้องแก้ไข
นั่นแหละคือสิ่งที่น่าวิตกและ”สาหัส”ไม่ต่างจากคำพูดของนายสุเทพ เท่าไหร่หรอก
——————