ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต [email protected]
รถต้นแบบ-ขับเคลื่อน ‘ไฟฟ้า’
เบนซ์ ‘EQA’ – เอ็มจี ‘E-MOTION’
“รถต้นแบบ” หรือ “คอนเซ็ปต์คาร์” ถือว่าเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ได้อย่างดีถึงอนาคตของแวดวงยานยนต์ทั่วโลก
เพราะแต่ละค่ายรถจะออกแบบรถต้นแบบ โดยอิงกับแนวโน้มรถยนต์ของตัวเองในอนาคต
แม้ในบางครั้งโฉมหน้าหรือการตกแต่งบภายในของรถต้นแบบ อาจไม่เหมือนตัวขายเสียทีเดียว แต่ก็พอมีเค้าลางอยู่บ้าง
นั่นหมายรวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัย ความสะดวกสบายต่างๆ ที่รถต้นแบบมีให้ ส่วนหนึ่งจะบรรจุไว้รถตัวขายเมื่อผลิตออกมาในเชิงพาณิชย์
เช่นดียวกับเครื่องยนต์ ก็บ่งบอกได้อย่างดีว่าในอนาคตรถค่ายนั้นๆ จะไปในแนวทางไหน
ในงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2018” จัดระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี มีรถต้นแบบหลากหลายรุ่นนำมาประชันกัน
ที่น่าสนใจคือเกือบทั้งหมดใช้การขับเคลื่อนด้วยพลังงาน “ไฟฟ้า”
เมื่อบวกกับกระแส “รักษ์โลก” และความเคลื่อนไหวของทั่วโลก ที่เฮโลไปยังรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงมีรคถพลังงานไฟฟ้าวางชขายอยู่หลายรุ่น
จึงชัดเจนว่าในอนาคตอันใกล้รถไฟฟ้าจะยิ่งมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในวงการยานยนต์ทั่วโลก
คันแรกที่จะไปดูกันเป็นค่ายดาวสามแฉก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ในชื่อ “EQA” (อีคิวเอ)
คอนเซ็ปต์อีคิวเอ นำปรัชญาการออกแบบ “Sensual Purity” มาตีความใหม่ พร้อมกับขับเคลื่อนแนวคิด Modern Luxury ลบองค์ประกอบที่เป็นสัน และเส้นออกไป
แผงด้านหลังแบบไฮเทคสีดำ เพิ่มความสวยงามภายนอก ด้วยเทคโนโลยี ไฟส่องสว่างที่โดดเด่นด้วยเลเซอร์ไฟเบอร์ โดยที่ตัวกลางซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงเลเซอร์ฝังไว้ในแกนกลางของเคเบิลใยแก้ว
ไฟรูปทรงขดเกลียวเล็กๆ สวยสะดุดตาช่วยเน้นย้ำแนวคิดของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้วยการออกแบบที่ชวนให้นึกถึงขดลวดทองแดงในมอเตอร์ไฟฟ้า และภาพการเคลื่อนไหวที่ให้มโนภาพถึงการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพิ่มกำลังขับเคลื่อนมากขึ้นกว่า 200 กิโลวัตต์ ตลอดจนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ให้สมรรถนะปราดเปรียวมากขึ้น
โหมดการขับขี่ 2 รูปแบบ คือ “Sport” และ “Sport Plus” ปรับเปลี่ยนแรงบิดที่ส่งไปยังล้อหน้า และล้อหลังในอัตราที่แตกต่างกัน และมีกิมมิกเล็กๆ ที่แผงสีดำบริเวณตอนหน้าของรถ ทำหน้าที่เป็นกระจังหน้าแบบเสมือน เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตามโหมดการขับขี่ที่ใช้
โดยในโหมด “Sport” กระจังจะแสดงภาพปีกติดเปลวเพลิงในแนวนอน
ส่วนในโหมด “Sport Plus” ภาพที่แสดงจะเป็นเส้นขีดแนวตั้งรูปกระจังหน้าในแบบแพนอเมริกาน่า
คอนเซ็ปต์อีคิวเอ วิ่งได้เป็นระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ในการชาร์จเต็ม 14 ครั้ง แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนเป็นแบบเซลล์กระเป๋า (Pouch Cell) มีความจุรวมเฉพาะรุ่นมากกว่า 60 kWh
สามารถชาร์จไฟฟ้าผ่านการเหนี่ยวนําแม่เหล็กไฟฟ้า (Induction) หรือ “วอลล์บ็อกซ์” และยังรองรับการชาร์จเร็ว (Rapid Charging) ด้วย
ถัดมาเป็นรถสปอร์ตชื่อดัง “ปอร์เช่” ส่งรถต้นแบบ “TAYCAN” มาร่วมประกวดในงานนี้ด้วย
ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง 2 ตัวแบบ PERMANENTLY EXCITED SYNCHRONOUS MOTORS (PSM) ให้กำลังสูงสุดกว่า 600 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาไม่ถึง 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเดินท่างได้ไกลกวง่า 500 กิโลเมตร
เรียกว่าถึงเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแต่ก็ไม่เสียชื่อค่ายรถสปอร์ต
อีกรุ่นที่น่าสนใจและสวยจริง สวยจังยกให้ “MAZDA VISION COUPE” ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นมาจัดแสดงให้คนไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด เพื่อสื่อสารปรัชญาการออกแบบรถยนต์ในเจเนอเรชั่นใหม่
มาสด้าเน้นย้ำในเรื่องของการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม ด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว หรือ “SUSTAINABLE ZOOM-ZOOM 2030” ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปัจจุบันทั่วโลกต่างให้ความสนใจในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV
มาสด้ามองว่าการนำเทคโนโลยีไฟฟ้ามาใช้นั้น ต้องคำนึงถึงแหล่งกำเนิดพลังงานที่สะอาดด้วย ขณะเดียวกันยังคงหาทางเลือกที่หลากหลายในการพัฒนาเครื่องยนต์และระบบขับขี่ ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีไฮบริด เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีเชื่อมต่อการสื่อสาร
ค่าย “เอ็มจี” มากับ “E-MOTION CONCEPT” ผสมผสานทั้งนวัตกรรมด้านการออกแบบ เทคโนโลยีที่ทันสมัยและการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตเข้าไว้ด้วยกัน
รถรุ่นนี้เปิดตัวตรั้งแรกที่เซี่ยงไฮ้ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 17 ได้รับความสนใจและเสียงชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงานอย่างล้นหลามทั้งในด้านดีไซน์ของรถซึ่งถูกออกแบบสปอร์ตจ๋า และเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า
ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย สื่อให้เห็นถึงทิศทางการออกแบบของรถยนต์เอ็มจีในอนาคต โครงหลังคาเส้นโค้งเรียวถูกออกแบบให้บรรจบกับตัวถังด้านท้ายรถในสไตล์รถ “สปอร์ตแบ๊ก”
ด้านหน้าโดดเด่นพร้อมไฟส่องสว่างแบบแอลอีดี ได้แรงบันดาลใจมาจากแสงสะท้อนของลอนดอนอาย (London Eye) และไฟท้ายแนวตั้ง
มาพร้อม “แบล๊ก เทคโนโลยี” (Black Technologies) เทคโนโลยีการขับเคลื่อนบนแพลตฟอร์มโมดูลาร์ พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่ปราศจากการสร้างมลพิษ
เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 4 วินาที ขับเคลื่อนไกลกว่า 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอัจฉริยะได้ด้วย
ปิดท้ายกันที่ “มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์ จีพี” แม้รูปลักษณ์ดูผาดๆ ไม่ต่างจากมินิ ตัวขายเท่าใดนัก แต่ถือว่าเป็นต้นแบบที่ยังไม่วางขาย
ใช้โทนสีดำ Black Jack Anthracite ที่เหลือบเป็นประกายสลับสีเทา, ดำตัดกับสีแดง Curbside Red และสีส้ม High Speed Orange
ด้านหน้าเด่นขึ้นด้วยความกว้างของลิ้นหน้าทรงกวาดพื้นขนาดใหญ่ กระจังรังผึ้ง ไฟท้ายมาในดีไซน์ธงยูเนียนแจ็คครึ่งผืน เสน่ห์ในสไตล์อังกฤษ
ส่วนท้ายรถผสมผสานความงดงามและความแข็งแกร่งเข้าไว้ด้วยกัน ท่อไอเสียคู่ติดตั้งตรงกลางกันชน สะท้อนดีเอ็นเอรถแข่ง “จอห์น คูเปอร์ เวิร์กส์”
ภายในเรียบง่าย เน้นการขับขี่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ โดยผสมผสานดีไซน์สปอร์ตเข้ากับรายละเอียดต่างๆ ที่โดดเด่น มีสีสันสะดุดตา ตกแต่งด้วยสีขาว ตัดด้วยหนังสีดำดุดันจากเบาะรองศีรษะ และเบาะที่นั่งกระชับลำตัว แผงหน้าปัดสีดำ
ระบบควบคุมแบบดิจิตอลในดีไซน์สะอาดตา บนหน้าจอขนาดใหญ่กลางแผงคอนโซลรถ