ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์ นพมาส แววหงส์
ROBIN HOOD
‘การเมืองเรื่องโรบินฮู้ด’
กำกับการแสดง Otto Bathurst
นำแสดง Taron Egerton Jamie Foxx Eve Hewson Ben Mendelsohn Jim Minchin Jamie Dornan F, Murray Abraham
หนังตัวอย่างที่ออกฉายมาพักใหญ่แล้วสัญญาจะเล่าเรื่องของจอมโจรที่มีชื่อเสียงในยุคกลางคนนี้แบบที่ยังไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อน
ตำนานที่เล่าขานกันคือโรบินฮู้ดปล้นคนรวยไปช่วยคนจน และใช้ชีวิตของคนนอกกฎหมายในพงไพร
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เราคุ้นเคยกับชื่อของโรบินฮู้ด ลิตเติลจอห์น บาทหลวงทัก แมเรียน นายอำเภอแห่งน็อตติ้งแฮม และป่าเชอร์วู้ด ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมประชุมพลของจอมโจรพระเอก ซึ่งมีการเฝ้าระวังเวรยามบนต้นไม้ เพื่อเป่าใบไม้เตือนพวกพ้องล่วงหน้าก่อนจะมีใครบุกเข้าไปถึงตัว
อย่างน้อยที่สุดสมัยเด็กผู้เขียนก็เคยดูหนังชุดทางโทรทัศน์เรื่องโรบินฮู้ดนี้เป็นประจำ
จากนั้น ก็ได้ดูหนังใหญ่อีกหลายเวอร์ชั่น รวมทั้งโรบินฮู้ดที่เควิน คอสต์เนอร์ เล่น ซึ่งเป็นโรบินฮู้ดที่หล่อที่สุดเท่าที่จำได้
ชื่อโรบินฮู้ดนี้เป็นที่สับสนมาตลอดว่าสะกดแยกเป็นสองคำ หรือรวมเป็นคำเดียว ซึ่งก็เห็นใช้กันอยู่ทั้งสองแบบ ผู้เขียนไปพบจอมโจรโรบินคนนี้อีกครั้งในตอนแปลอมตะนิยายชุด “อาร์เธอร์ ราชันแห่งนิรันดร์กาล” (The Once and Future King) ของ ที.เอช.ไวต์ ซึ่งเป็นต้นตอของหนังมิวสิเคิลในดวงใจเรื่อง Camelot
ในภาคแรกที่ชื่อว่า “ดาบในศิลา” อาร์เธอร์ใช้ชีวิตสมัยเด็กร่ำเรียนกับผู้วิเศษเมอร์ลิน และผจญภัยอยู่ในป่าจนไปเจอเข้ากับลิตเติลจอห์น ซึ่งพาเขาไปหา “โรบิน อู๊ด”
จริงๆ นะคะ ไม่ได้พิมพ์ผิดหรอก ลิตเติลจอห์นเรียกชื่อนี้ว่า “โรบิน อู๊ด” และบอกว่า “โรบิน ฮู้ด” เป็นชื่อที่คนมีการศึกษาเรียกกัน (คงเหมือนอย่างที่สำเนียงค็อกนีย์ไม่ออกเสียงตัวพยัญชนะ h แต่อ่านด้วยเสียงสระเฉยๆ)
แต่ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ แล้ว ต้องเรียกเขาว่า “โรบิน วู้ด” มากกว่า เพราะเขาอยู่ในป่า (wood)
มาถึงหนังเรื่องปัจจุบัน เขียนชื่อนี้แยกกันให้โรบินมีนามสกุลว่า “ฮู้ด” ซึ่งแปลว่าผ้าคลุมศีรษะ โดยได้มาจากการที่โรบินแห่งลอกซ์ลีย์ปลอมตัวออกปล้นโดยคลุมหัวให้มิดชิดเพื่อไม่ให้คนเห็นใบหน้าและจำได้
เรื่องเริ่มที่โรบินแห่งลอกซ์ลีย์ (ทารอน เอเกอร์ตัน) เป็นผู้ดีเจ้าของปราสาทและที่ดิน และเขากำลังถูกปล้นโดยโจรคลุมหน้าซึ่งเขาจับตัวได้และปรากฏว่าเป็นสาวสวยชื่อแมเรียน (อีฟ ฮิวสัน) ที่ลอบเข้ามาขโมยม้าในคอกของปราสาทเพื่อไปช่วยคนขาดแคลนที่มีความต้องการม้ามากกว่าเจ้าของปราสาทที่มีอยู่มากเกินพอ
ไม่ช้าไม่นานโรบินแห่งลอกซ์ลีย์ก็แต่งงานกับสาวงามแมเรียน และครองคู่กันอย่างแสนสุขเยี่ยงข้าวใหม่ปลามัน แต่ก็เพียงไม่นานก่อนที่ชีวิตทั้งชีวิตของเขาจะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า
เหมือนสายฟ้าฟาดลงในเวลากลางวันแสกๆ โรบินโดนหมายเรียกตัวจากนายอำเภอแห่งน็อตติ้งแฮมให้ไปร่วมรบในสงครามศาสนาในดินแดนตะวันออกกลาง
ฝ่ายศัตรูคือพวกแขกมัวร์ และหนึ่งในนั้นคือคนที่จะกลายมาเป็นสหายคู่ใจที่เรารู้จักกันในชื่อ “ลิตเติลจอห์น” (เจมี ฟอกซ์) เนื่องจากชื่อภาษาอาหรับของเขาเรียกยากจนโรบินฟังแล้วต้องทำตาปริบๆ เพราะไม่สามารถออกเสียงได้
โชคชะตาพลิกผันอย่างเหลือเชื่อให้ศัตรูกลับกลายมาเป็นมิตร
โรบินกลับอังกฤษเพื่อจะพบว่าคฤหาสน์ใหญ่โตของเขาเหลือเพียงซากปรักหักพัง และภรรยาสุดที่รักกลายอื่นไปเสียแล้ว
คนที่เคยเป็นคู่อริตัวเอ้เปลี่ยนเข็มมาเป็นจักรกลตัวสำคัญที่ผลักดันให้โรบินลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้คืนมาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ โดยต่อสู้กับอำนาจเยี่ยงทรราชที่กดขี่และมีแผนสำหรับสงครามอันไม่รู้จบสิ้น
การเมืองแบบยุคสมัยปัจจุบันเป็นจักรกลขับเคลื่อนสงคราม นั่นคือการทำสงครามเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยส่งท่อลำเลียงให้การสนับสนุนคู่สงครามเพื่อให้การสู้รบยังดำเนินต่อไปได้ไม่จบสิ้น
จากแง่มุมของหนังเรื่องนี้ สงครามครูเสดไม่ใช่สงครามศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ที่สู้รบกันด้วยอุดมการณ์อันขัดแย้งกัน แต่เป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง
อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ นี่คือโรบินฮู้ดภาคพิสดารของการเมืองเบื้องหลังอำนาจ ซึ่งสร้างวีรบุรุษในตำนานขึ้น
ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่หนังซึ่งเกิดจากจินตนาการอันกว้างไกลของศิลปินผู้สร้างจะทำไม่ได้…ขอแค่ต้องทำให้ดี
หนังเรื่องนี้ยังมีช่องโหว่และจุดอ่อนที่ไม่ลงตัวในหลายจุดหลายด้านเกินกว่าจะยอมรับว่าเป็นหนังดี
ประการสำคัญคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ซึ่งยังสัมผัสได้เพียงลางๆ แค่พื้นผิว โดยไม่ลงลึกมากไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างโรบินกับลิตเติลจอห์น โรบินกับแมเรียน โรบินกับบาทหลวงทัก หรือแมเรียนกับสามีใหม่ และเหตุผลสำหรับความเป็นอริของโรบินกับนายอำเภอแห่งน็อตติ้งแฮมคนต่อไป ซึ่งตอนจบเปิดทิ้งไว้สำหรับการผจญภัยของโรบินฮู้ดในภาคต่อๆ ไป (ถ้ามี)
หนังให้ความรู้สึกของหนังบู๊แบบจีน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเป็นโปรดักชั่นที่มีบริษัทหนังของฮ่องกงให้การสนับสนุน
ฉากแอ๊กชั่นของสงครามครูเสดให้ความรู้สึกเหมือนการสู้รบในสงครามสมัยใหม่ แม้ว่าพระเอกจะถือธนูหรือหน้าไม้เดินอาดไปทั่วสนามรบ นี่เป็นความไม่สอดคล้องที่ไม่ชวนให้คล้อยตามอย่างยิ่ง เวลาเราดูหนัง แม้จะเป็นเรื่องราวในจินตนาการ แต่เราก็ต้องเก็บความไม่เชื่อเอาไว้ต่างหากชั่วคราว แบบที่เรียกว่าต้องมี suspension of disbelief ในระหว่างการชม
แต่ขอสารภาพว่าผู้เขียนพยายามเอาความไม่เชื่อ “แขวน” ไว้ต่างหาก แต่ก็ทำได้อย่างยากเย็น เพราะต้องมีเรื่องแปร่งๆ ที่ไม่สอดคล้องกันคอยผลักไม่ให้คล้อยตามไปอยู่เรื่อย
ผู้เขียนแทบไม่รู้จักผู้กำกับฯ คนนี้และไม่เคยดูหนังของเขามาก่อน แต่เท่าที่เห็นคือเขายังไม่สามารถดึงความสามารถออกมาจากตัวนักแสดงซึ่งถือเป็นดาราแนวหน้าหลายคนได้
เจมี ฟอกซ์ ซึ่งแม้จะเริ่มโด่งดังด้วยการเล่นหนังชุดคอเมดีมาก่อน แต่ก็หันมาขยายขอบเขตของตัวเองไปสู่บทดราม่าและบทบู๊ซึ่งเขาได้พิสูจน์ฝีมือมาแล้ว
แต่เขามีบทบาทอึมครึมมากในเรื่องนี้ และอีกคนที่ดูเหมือนเป็นจักรกลสำคัญอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด คือ เอฟ. เมอร์เรย์ เอบราห์ม ก็มีบทบาทน้อยมาก
และหนังยังเสนอเหตุผลเบื้องหลังในการกระทำของตัวละครสำคัญมากในเรื่อง คือแมเรียน อย่างผ่านๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจแต่งงานใหม่ หรือการตัดสินใจหวนกลับมาสู่สามีเก่า โดยสรุปเอาคลุมๆ ว่า เป็นพระเอกนางเอกแล้วสามารถทำเรื่องผิดศีลธรรมได้โดยไม่มีใครว่าอะไรกัน
สรุปว่า ผู้เขียนไม่นึกอยากติดตามชมภาคต่อไปของหนังเรื่องนี้เลยค่ะ ถ้ามี…และดูท่าว่าจะมีเสียด้วย…