ทราย เจริญปุระ : มีชีวิตเพื่ออยู่ในบันทึก หรือเป็น “ผู้จด” บันทึก

มีแต่ความผิดหวังนั่นแหละที่โรแมนติก

เพราะถ้าสมหวัง เราจะได้รับชัยชนะ

ต้องกับการผิดหวังซึ่งดูไม่มีอะไรดีเสียเลยนี่สิ จึงกลายเป็นความโรแมนติกทิ้งร่องรอยเลือนจางยามนึกถึงมัน

ถึงกินยาแล้วฉันก็ยังเศร้าอยู่บ่อยๆ

เศร้าด้วยเรื่องแปลกประหลาดเล็กจ้อยเกินกว่าที่จะหาคำมาอธิบาย

ห้วงเวลาก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า หรือฝนตั้งเค้ามาครึ้มคือช่วงห่อเหี่ยว กลิ่นพิกุลที่ร่วงหล่นหลังคืนฝนตกนั้นก็แสนโศก กลุ่มคนยืนเก้กังหน้าทางม้าลาย รอให้รถใจดีสักคนหยุดให้เพื่อเดินข้ามกลับสู่อ้อมกอดของพื้นที่ที่เรียกว่าบ้านนั้นก็ชวนเหงา

นี่มันแย่เสียยิ่งกว่าตอนฉันอกหัก

อกหักนั้นฉันยังรู้ว่าฉันเศร้าเพราะความรักที่มอบให้ใครคนหนึ่งถูกเขาทิ้งขว้างไม่ไยดี

อกหักนั้นฉันยังรู้ว่าต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง เพลงที่เคยฟัง หนังที่เคยดู

แต่ไม่ใช่กับอะไรที่เป็นทุกวันนี้ เสียงหัวใจเต้นตึกตึกของตัวเองนั้นก็สร้อยเศร้าแผ่วเนือย เหมือนทำหน้าที่ไปอย่างแกนๆ พอพ้นวัน

และที่สำคัญ, ความเศร้าอันไร้ที่มาเช่นนี้ ไม่ก่อเกิดอะไรเลยนอกจากความเศร้า

แต่เพื่อนฉันก็บอกว่า-ดีๆ ชั่วๆ มึงก็ยังกอบเศษหัวใจมาเขียนเรื่องสั้นได้ไง-

ก็จริง

คนมีความสุขไม่ค่อยว่างทำอะไรหรอก พวกเขากำลังวุ่นกับการมีความสุข อะไรก็น่าทำน่ามองน่ามีส่วนร่วมด้วยไปเสียทั้งสิ้น

แต่กับมนุษย์ผู้ผิดหวังอมทุกข์ กิจกรรมต่างๆ ในโลกล้วนผ่านไปจืดๆ แกนๆ เรากลายเป็นหุ่นอัตโนมัติที่ทำอะไรตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ ทำได้, แต่เป็นการทำผ่านจิตใต้สำนึก มองได้, แต่เป็นการมองผ่านฟิลเตอร์ม่านหมอกและสายฝน เรื่องธรรมดาดูเหนือจริงขึ้นทุกวินาที เราเคยกินข้าวคนเดียวได้จริงหรือ? ไม่มีใครอีกแล้วจริงๆ หรือ ที่อยากรู้ว่าเรากินข้าวแล้วหรือยัง?

-จริง-

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แล้วมนุษย์ผู้ฉ่ำไปด้วยความเศร้าสร้อยก็ตักข้าวเข้าปาก และย้อนนึกถึงวันที่กับข้าวเคยอร่อยกว่านี้

ไอ้อาการซึมเศร้ามันก็เกือบๆ จะเป็นอะไรเช่นนั้น

อกหัก แต่ไม่รู้หักมาจากอะไรกันแน่

ชีวิต?

ชีวิตก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่ได้เจิดจ้าแจ่มจรัสเสียจนเราต้องเสียดายเมื่อนึกย้อนไปในอดีต

มันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา

ฉันเคยเขียนถึงดอกปีบริมหน้าต่างห้องในวันอกหัก ว่าไม่ต่างอะไรกับการที่ลี้คิมฮวงนั่งนับดอกเหมย

มาถึงวันนี้ที่อกก็ไม่ได้หักยับขนาดนั้นแล้ว และปีบก็ผลัดดอกผลิใบผ่านไปหลายฤดู ฉันก็ยังคงจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น รดมันด้วยสายตาและความว่างเปล่าในใจ

และปีบก็งอกงามดี

มันไม่ได้สนใจฉันด้วยซ้ำ

ฉันอ่าน “ศิลปะของความผิดหวัง” อยู่หลายรอบมาก มันเหมือนกับฉันทั้งรู้และไม่รู้ในเวลาเดียวกัน ว่าหนังสือพูดถึงอะไร

ถ้าว่ากันตามสารบัญ, หนังสือก็รวบรวมเอาเรื่องราวต่างๆ ที่กำเนิดจากความผิดพลาด ผิดหวัง ถูกหลงลืมเอาไว้ ทั้งชีวิตนักเขียน นักดนตรี ไปจนถึงสิ่งประดิษฐ์ที่ตกหล่นลงไปจากพื้นที่จดบันทึก

บางทีฉันก็ไม่รู้ว่าฉันเกิดมาเพื่ออยู่ในบันทึกเช่นนี้ หรือควรจะเป็นคนจดบันทึกเหล่านี้กันแน่

Maybe I should be more grateful

That I had to watch it all come undone

Holding so tight to the edge is painful

But I can”t ignore it I know

They”re watching as I fall, they”re staring as I go

I gave until my soul hurt, and never told them so

They”re watching as I fall, to somewhere down below

But maybe I”m just falling, to get somewhere they won”t**

แทบทุกหน้าในหนังสือสามารถยกขึ้นมาให้คำจำกัดความถึงหนังสือเล่มนี้ได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีประโยคไหนเลยจะกล่าวได้อย่างครอบคลุม

มันคือความคลุมเครือผลิตซ้ำ ของความผิดหวังที่จบยังไงก็ผิดหวัง เพราะชีวิตของมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นเอง

บางทีจะดีที่สุด ถ้าให้ผู้รวบรวมได้กล่าวเอง

“….อย่างไรก็ตาม ระดับชั้นของศิลปะแห่งความผิดหวังอาจขึ้นกับประสบการณ์ หรือระยะยืนที่เรารับรู้ เช่น ถ้าเราอยู่ใจกลางหายนะบางอย่าง ทั้งที่เราสร้าง หรือมีผู้อื่นสร้างนั้น ขีดขั้นของความผิดหวังก็อาจจะแตกต่างไปจากคนที่ยืนไกลออกมา

เช่นเดียวกับระยะเวลา ศิลปะแห่งความผิดหวังหลายชิ้นถูกสลักเสลาด้วยกาลเวลา การเกิดซ้ำ และความบากบั่นอุตสาหะของผู้สร้างสรรค์โดยแท้…”*

“ศิลปะของความผิดหวัง” (The Art of Disappointment) เขียนโดยกิตติพล สรัคคานนท์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์แซลมอน ตุลาคม, 2561

*ข้อความจากผู้เขียน

**จากเพลง “Watching as I fall” ของ Mike Shinoda อัลบั้ม Post Traumatic (2018)