วงค์ ตาวัน : บัตรคนจนกับบัตร 30 บาท

วงค์ ตาวัน

โพลของมหาวิทยาลัยรังสิต โดย รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คงช่วยให้พรรคพลังประชารัฐและกองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้สึกสบายใจขึ้นมากโข เมื่อเปิดผลออกมาแล้วสรุปว่าบิ๊กตู่มีคะแนนนิยมเหนือกว่าแกนนำพรรคการเมืองอื่นๆ อย่างมากมาย

สำรวจ 4-5 หน ก็ชนะตลอด

ไม่เท่านั้น ไม่ใช่แค่เปิดผลโพลนายกฯ แต่ยังเสนอบทวิเคราะห์แนบท้ายโพลที่สรุปว่า พรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร มาถึงจุดตกต่ำสุดขีดแล้ว ด้วยเหตุผลหลายประการ

“แต่ประการสำคัญที่สุด ซึ่งถือว่าฉีกข้อมูลทางวิชาการของทุกสำนัก เป็นเจ้าแรกเลยทีเดียวที่กล้าชี้ว่านโยบายของรัฐบาล คสช.และพรรคพลังประชารัฐในเรื่องบัตรคนจนนั้น เหนือกว่าบัตร 30 บาทรักษาทุกโรคของทักษิณ ครองใจชาวบ้านคนยากคนจนได้มากกว่าทักษิณแล้ว!?!”

ทั้งนี้ บทสรุปของ รศ.ดร.สังศิตก็คือ เพราะนโยบายบัตรคนจนซึ่งมีขอบเขตการให้ประโยชน์แก่คนจนอย่างกว้างขวาง โดยรวมเอานโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ผนวกรวมเข้ากับนโยบายอื่นๆ เช่น เบี้ยคนชรา ค่าโดยสารสำหรับผู้ป่วย ฯลฯ จึงเป็นนโยบายที่เอาชนะใจกลุ่มคนจนจำนวน 11 ล้านคนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

“นั่นคือคำยืนยันจากนักวิชาการผู้จัดทำโพลมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐได้สร้างปรากฏการณ์ดุจพายุ ที่จะกวาดพรรคเพื่อไทยแพ้อย่างราบคาบ”

จึงต้องบอกว่า โพลนี่แหละที่จะช่วยเป็นกำลังใจอย่างมากมายมหาศาลให้กับกองเชียร์ของ พล.อ.ประยุทธ์

เพราะก่อนหน้านั้น เพิ่งมีนิด้าโพลเปิดผลสำรวจแล้วพบว่าคะแนนนิยมของสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แห่งเพื่อไทย มาแรงแซงบิ๊กตู่ขึ้นไปแล้ว

แต่ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และแกนนำ คสช. แกนนำรัฐบาลคนอื่นๆ แสดงท่าทีที่ไม่ให้ความสำคัญกับโพลที่ว่าหญิงหน่อยแซงบิ๊กตู่มากนัก

มองว่า โพลน่าจะเป็นการสำรวจความนิยมจากกลุ่มตัวอย่างเพียงไม่กี่พันคน เทียบไม่ได้เลยกับเสียงคนที่จะไปใช้สิทธิในวันเลือกตั้ง

แต่ก็นั่นแหละ ลงเอยก็ต้องมีโพลของมหาวิทยาลัยรังสิตที่ออกมาตีโต้ ย้ำว่าคะแนนนิยมของบิ๊กตู่ทิ้งขาดทุกพรรค

“คงช่วยสร้างความโล่งอกโล่งใจกันได้ไม่น้อย”

แต่จะว่าไปแล้ว ระบบอย่างหนึ่งของพรรคการเมืองใหญ่ๆ ทุกพรรค ล้วนต้องมีระบบโพลในทางลับ ที่ทำแบบลงลึกในทุกพื้นที่ เพื่อให้ได้ตัวเลขที่น่าเชื่อถือได้แท้จริง

จะได้รู้แนวโน้มว่า เขตไหน พื้นที่ไหน ที่มั่นใจในชัยชนะได้ พื้นที่ไหนที่คงสู้ไม่ได้ จะได้วางน้ำหนักในการทุ่มเทเพื่อชิงคะแนนเสียงแบบไม่ให้เสียเปล่า

โพลลับของพรรคใหญ่นี่แหละ ที่รู้กันอยู่แก่ใจว่า ในวันนี้พรรคไหนที่มาแรงที่สุด

จนต้องเร่งโหมพลังดูด เร่งทุ่มเทมาตรการของรัฐในด้านต่างๆ เพราะผลโพลลับบอกว่าต้องเร่งพลิกสถานการณ์ให้ได้ทุกวิถีทาง!

บรรดาผู้ที่เตรียมตัวลงสมัคร ส.ส. หรือเหล่าหัวคะแนนได้เคยสะท้อนข้อเท็จจริงให้กับระดับนำของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลไปแล้วว่า เรื่องที่น่าหนักใจหลังจากลงพบปะกับมวลชนฐานเสียงในพื้นที่ต่างๆ ก็คือ ชาวบ้านมีความคับข้องใจในเรื่องเศรษฐกิจปากท้องอย่างมาก

ตัวเลขราคาพืชผลการเกษตรที่สำคัญๆ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเป็นปัญหาที่อธิบายได้ยาก

“ทำให้เกิดภาพเปรียบเทียบกับสภาพความเป็นอยู่ รายได้ และราคาพืชผลในช่วงรัฐบาลของขั้วการเมืองอีกขั้ว”

ยกตัวอย่างราคายางพารา เห็นได้ชัดที่สุด และอธิบายกับมวลชนได้ยากที่สุด

“สภาพเงินทองในกระเป๋าของประชาชนวันนี้ ทำให้เขานึกถึงแกนนำการเมืองของอีกฟากฝ่ายมากกว่า”

แม้แต่บัตรคนจน ที่ลงถึงชาวบ้านระดับล่างจริง แต่ด้วยข้อจำกัดว่าจะต้องซื้อสินค้าในร้านที่กำหนดให้ เท่ากับไม่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่แท้จริงของชาวบ้าน

ขณะที่ในยุคของพรรคการเมืองอีกฝ่ายนั้น มีการกระจายเงินลงไปยังรากหญ้า สามารถนำไปจับจ่ายซื้อข้าวของตามความต้องการที่เป็นจริงได้มากว่า เพราะไม่มีการจำกัดร้านค้า

“นี่คือเสียงสะท้อนจากผู้สมัครและหัวคะแนน ที่แกนนำรัฐบาลเองได้รับฟังตลอด!”

น่าสนใจว่า มาตรการของรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้าย ที่เทงบประมาณลงมาช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านชาวเกษตรนั้น จะมีผลให้รู้สึกพึงพอใจได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะถ้าชาวบ้านไม่พึงพอใจในผลงานเศรษฐกิจตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

“จะหวังให้เขายอมเลือก เพื่อให้กลับมาทำงานอีกรอบเพื่อให้แก้ตัวได้หรือ!?”

ขณะเดียวกันมีแกนนำพรรคฝ่ายรัฐบาลเองยอมรับว่า การหาเสียงในช่วงสุดท้ายต้องพยายามไม่พูดอวดอ้างเรื่องเศรษฐกิจ

แต่ต้องไปเน้นให้เห็นถึงปัญหาความสงบในบ้านเมือง ปลุกภาพเผาบ้านเผาเมืองขึ้นมาเพื่อให้ชาวบ้านรู้สึกเบื่อหน่ายอีกฝ่าย

ต้องทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่า ต้องมีนายกฯ ที่สามารถนำพาบ้านเมืองไปสู่จุดอื่น ไม่วนกลับมายังจุดเดิมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอีกแล้ว

เป็นกลเม็ดหาเสียงประการเดียวเท่านั้น ที่จะพอเอาชนะได้

ไม่ใช่ไปแก้ตัวเรื่องปากท้อง ไม่ใช่ไปอ้างว่าบัตรคนจนเจ๋งกว่า 30 บาทรักษาทุกโรคอย่างแน่นอน

แต่คะแนนนิยมในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งยังต้องไปวัดกันที่นโยบายของแต่ละพรรค ซึ่งจะเปิดออกมาจูงใจประชาชน เมื่อ คสช.ยอมปลดล็อกเปิดให้ทุกพรรคหาเสียงได้ ตอนนั้นแหละจะได้เห็นทีเด็ดของแต่ละพรรค ที่จะต้องเปิดออกมาว่า จะมีนโยบายแก้ปัญหาให้ประชาชนอะไรบ้าง ในการเสนอตัวเข้ามาเป็นรัฐบาล

กรณีของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งวันนี้เป็นที่ยอมรับว่าเปิดตัวแล้วยิ่งใหญ่เกรียงไกรจริงๆ กวาดต้อนอดีต ส.ส.จากพรรคต่างๆ เข้ามาได้มากมาย

ดูจะมีความพร้อมสูงทุกด้าน

ทั้งในฐานะที่กุมอำนาจอยู่ปัจจุบัน มีกลไกสารพัดด้านรองรับ ไปจนถึงตัวผู้สมัครที่ดูดมาได้อย่างครบพร้อม

“แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังไม่ได้เห็นนโยบายที่จะเปิดออกมาเพื่อหาเสียงกับประชาชน ยังไม่รู้ว่าจะมีทีเด็ดอะไรมากพอหรือไม่!?”

ที่แน่ๆ พรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วยทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.เป็นส่วนใหญ่ อาจจะต้องบอกกล่าวกับประชาชนว่า ถ้าเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกรอบ จะมีนโยบายเศรษฐกิจฉีกไปจากเดิมหรือไม่ จะบอกว่าทำอย่างเดิมก็คงไม่ได้ อาจจะยิ่งฉุดคะแนนด้วยซ้ำ

“นั่นคงต้องเฝ้ามองกันต่อไป”

ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาเป็นเจ้าแห่งนโยบายใหม่ๆ แท้จริง

มีข่าวจากแกนนำพรรคนี้ว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีเวลาคิดค้นนโยบายใหม่ๆ ได้มากมาย และทันโลกทันสมัยมากกว่าเดิม รวมทั้งรู้ดีว่า ภายใต้กรอบที่ฝ่าย คสช.วางเอาไว้ คือปิดกั้นนโยบายแนวประชานิยม ทำให้ต้องคิดค้นนโยบายที่ไม่เข้าข่ายดังกล่าว

คงต้องคอยดูว่า พรรคที่เคยมีปูมประวัติเหนือชั้นด้านนโยบายเขย่าสังคม

“ได้ใช้เวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา คิดค้นอะไรใหม่ๆ และไม่ใช่แนวประชานิยม ตามกรอบที่ถูกล็อกเอาไว้อีกด้วย”

คงต้องคอยฟังนโยบายหาเสียงใหม่ๆ ของเพื่อไทย

“และรายชื่อที่จะเสนอในบัญชีผู้เป็นนายกฯ ของพรรคนี้!”

รวมไปถึงพรรคเครือข่าย เช่น ไทยรักษาชาติ

ยังเป็นจุดที่น่าจับตามองอีกจุด ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มการเลือกตั้งในโค้งสุดท้าย!