การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ที่บรรจุแสงวิบวับเกลื่อนกล่น

“พี่อยู่มั้ย”

มีรถมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้าน ผู้ชายผมเกรียนผิวขาวตวัดขาลงมา

“มีจดหมายกับพัสดุมาส่ง”

แม่เป็นคนยื่นมือรับซองสีน้ำตาลนั้น ขณะที่ฉันกำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปหาห้องนอน นึกในใจว่าจะรีบอาบน้ำให้หมดกลิ่นสาบคราบไคล แล้วจะได้รีบจดบทกวีที่ท่องอยู่ในหัว

“เอ้า ของพี่” แม่ส่งเสียงและยื่นซองให้

ฉันอดชะงักไม่ได้ ทันใด ใจก็เต้นรัวขึ้น แทบรีบกระโดดลงมารับซองกระดาษนั้น

มีตั้ง 3 ซอง…ทุกซองจ่าหน้าชื่อฉัน ตราปั๊มตัวหนังสือบนมุมซ้ายของซอง เขียนชื่อนิตยสารวัยหวาน

ไม่เท่านั้น ยังมีซองจดหมายยาวๆ อีกหนึ่งฉบับ ลายมือแปลกตา

เหมือนมีกลองรัวก้องขึ้นในอก เหงื่อแทบชื้นออกมาจากฝ่ามือ

ฉันถือซองทั้งสองวิ่งขึ้นไปในห้องนอนตัวเองทันที

 

ใจร้อน แทบจะฉีกกระดาษซองออกเสียยับเยินเดี๋ยวนั้น เมื่อมีชื่อฉัน และดูจากรอยนูนหนา ก็รู้ว่าต้องเป็นหนังสือแน่ๆ

ฉันแกะซองสีน้ำตาลก่อน และก็จริงดังนั้น มีนิตยสารใหม่เอี่ยมปรากฏโฉมหน้า ทั้งสองเล่มหน้าปกเป็นรูปดารานักร้องที่ฉันยังไม่รู้จักชื่อ แต่ต้องคือคนดังแน่ๆ…

เกือบมือสั่นอีกครั้ง ฉันเปิดไปยังหน้าบทบรรณาธิการ เปิดผ่านไปจนถึงคอลัมน์ที่รอคอย…เพียงความในใจวัยหวาน และ เขียนเป็นกวี ควบคุมคอลัมน์โดย “พี่ทยานิจ”

[…แววตะวันวาดฟ้า

หยาดน้ำตาใครคนหนึ่ง

ความสับสนในห้วงคำนึง

คือภาพฝันตราตรึงจากเมื่อวาน

รู้…เธอทุกข์ระทม

ฝันแล้งลมล้วนเลยผ่าน

ทรงจำและตำนาน

ชีวิตคือความยากไร้…]

บางภาพผ่านเข้ามาในสำนึก…ฉันยืนอยู่ข้างชั้นหนังสือในตึกแถวเก่าๆ แห่งนั้น นายจ้างรับสมุดของฉันไป พลิกดูคร่าวๆ ละม้ายจะอ่านผ่านตาสองสามหน้า แล้วยื่นคืนให้

“จะส่งไปที่ไหน”

“นิตยสาร…วัยหวานฮะ”

“เอาสิ” คำพูดเรียบๆ ตอบกลับมา “อยากส่งก็ส่งไป แต่ถ้าไม่ได้ลงอย่าเพิ่งเสียใจก็แล้วกัน”

ใจฉันหายวูบ

“…มัน…มันยังไม่ดีใช่ไหมฮะ”

“เอ้า ผมไม่ใช่ บ.ก. นี่ จะตัดสินให้คุณได้ยังไง…ถ้าคุณอยากส่งไปก็ลองดู…เอาอย่างนี้ ที่คุณเขียนมาน่ะ ชอบบทไหนที่สุด”

ฉันนิ่งงันไป ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไร

ชอบบทไหน…ฉันย่อมชอบทุกบทที่สะกดตัวหนังสือเขียนออกมา เพราะว่า…ฉันเป็นคนเขียนมันทั้งหมดเอง

“รู้ละ คุณไปยืนตรงนั้นหน่อย เลือกบทที่อยากจะส่งไป แล้วอ่านให้ผมฟัง”

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีใครสักคนหนึ่งบนโลกใบนี้ กำลังยินดีจะฟังบทกวีของฉัน แทบจะเหมือนล่องลอยไปบนอากาศอันอ่อนนุ่ม กลัวไหม…กลัวสิ ฉันกลัวเหลือเกินว่าสิ่งเหล่านี้ ที่แท้จะเป็นแค่เพียงความฝัน

ฉันใช้เวลาเกือบทั้งคืน นั่งจดบทกวีที่เคยแต่งเอาไว้ในหัว เป็นความลับเล็กๆ ที่ฉันคอยจดจำและท่องมันซ้ำซากเอาไว้

ใบเขียวแตกอีกหนึ่งใบ ฉันตัดสินใจแลกมันกับสมุดมาถึงสองเล่ม ปากกาหนึ่งด้าม มันคือภารกิจสำคัญ

“อ่านเลย”

 

[…ก่อนนั้นเราฝันว่า

ตะวันลาเพื่อมาใหม่

รอยยิ้ม น้ำตาใด

ล้วนเปลี่ยนไปตามช่วงกาล

หากวันแล้ววันเล่า

เรื่องเก่าเก่ายังเล่าขาน

นักฝันแดนกันดาร

ถูกประหารเสมอมา

ประหารด้วยฝันสวย

อีกคมดาบปรารถนา

ผู้มีทรัพย์ วิชา

อำนาจเขาเราหรือทัน…]

 

“จบแล้วหรือ”

“…ฮะ”

“เหมือนยังไม่จบนะ” ตามองฉันอย่างชั่งใจ “มีบทอื่นอีกมั้ย”

“มีฮะ”

[…น้ำตาแม่วันก่อน

จึงรุ่มร้อนในใจฉัน

เพราะเรา…รู้เท่ากัน

ฝันเพื่อพ่าย ฝันเพื่อพ่าย

แววตะวันลับฟ้า

กรุ่นหอมดอกเก็ดถะหวาแล้วจางหาย

หากคืนนี้ฟ้าพราวด้วยดาวพราย

แม่จงรู้คือความหมายรักฝากมา]

ฉันส่งบทกวีไปหลายบท แต่สองบทที่กำลังลงในนิตยสารสองเล่มนี้ คือบทที่ฉันตั้งใจจะถ่ายทอดความรู้สึกอันลึกลับ

 

๑,

เพียงได้กะพริบวิบวับ

ประดับคืนข้างแรม

แต่งแต้มสีสัน

ความฝันใครสักคนก็สุขใจ

ไม่หวังจะเป็นดวงดาว

พร่างพราวบนฟากฟ้าคืนไหน

ขอเป็นเพียงหิ่งห้อย

บินล่องลอยอยู่ใกล้ใกล้

วอมแวมในหัวใจเธอ

๒,

ขอเป็นดอกหญ้าสีขาว

บานพราวเพื่อคนยากจนเสมอ

ยามเธอขาดไร้

ทรัพย์สินใดก็เกินไขว่คว้า

ขอฉันได้เป็นดอกหญ้า

บานงามอยู่ในดวงตา

หากเธอแซมผม ดมดอม

ฉันจะกรุ่นกลิ่นหอมปลอบโยน

๓,

หรือเป็นลำธาร

ไหลรินระหว่างทางผ่านของคนเดินทาง

ที่หวังจะไปฟ้าไกลโพ้น

ฉันจะเย็นชื่น อ่อนโยน ช่วยเธอดับกระหาย

วางความเหนื่อยอ่อน ร้าวรอนมาให้ฉัน

แบ่งปันพลังจากฉันไป

หลับตาสิ สายน้ำเย็นใส

จะโลมไล้ให้เธอชื่น…

 

๔,

เพียงได้มอบความปรารถนาดี

มีความรักให้กับผู้คน

ปลุกชีวิตมืดมนฟื้นตื่น

ได้ช่วยซับหยาดน้ำตารื้น

ก็ชื่นใจ

ขอเป็นเพียงกรวดทรายริมทางผ่าน

เป็นสะพานพาเธอสู่ฝันสดใส

เท่านี้ก็สุขใจ

เท่านี้ก็พอใจยิ่งแล้ว

ไม่น่าเชื่อเลย! ในที่สุด ตัวหนังสือของฉันก็ได้ปรากฏบนหน้ากระดาษ โอ มันช่างสวยงามเหลือเกิน

ฉันลงไปนอนพังพาบบนพื้น ข้างสะลีที่ยังพับไว้ อ่านบทกวีของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างมีความสุข

และความสุขยังเติมเข้ามาอีกจากข้อความในจดหมาย

 

[สวัสดี คนเดินทาง

เธอคงแปลกใจที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ ฉันได้ที่อยู่ของเธอมาจากพี่ทยานิจ พี่สาวที่น่ารักของพวกเรา เธอคงยังไม่รู้สินะ เมื่อใครๆ ได้อ่านบทกวีของเธอ ก็มีแต่คนอยากรู้จักเธอ อยากรู้ว่าเธอเป็นใคร แต่แม้พี่ทยานิจจะเขียนถึงเธอตั้งหลายฉบับ มีบทกวีของเธอลงบ่อยๆ เธอก็ช่างกระไร ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนกับใครเลย…]

จดหมายว่ายังไงนะ… “ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนกับใคร” นั่นหมายถึงฉันหรือ? มีบทกวีของฉันลงในหนังสือหลายเล่มแล้วด้วยหรือ? แต่เพราะฉันไม่เคยได้อ่านมันไง ฉันไม่มีหนังสือ ไม่เคยซื้อหามาได้ และไม่รู้จะไปยืมใครมาอ่าน

ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่ามีใครๆ อยากรู้จักฉันด้วย?

 

[รู้ไหม ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เธอเป็นคนที่ดูแปลกและทำตัวลึกลับเสียจริงๆ

แต่ก็ให้บังเอิญมากล่ะ ฉันเพิ่งมีโอกาสไปเยี่ยมสำนักงานวัยหวานมา พี่เลขาฯ กอง เอาจดหมายของเธอให้อ่าน ฉันจึงรู้ว่าที่แท้เธออยู่เชียงใหม่

มันไกลมากใช่มั้ย…ฉันไม่คุ้นชื่ออำเภอของเธอเลย แต่ก็คิดออกว่า น่าจะส่งหนังสือไปให้เธอดูบ้าง อย่างน้อย หากเธอได้รับจดหมายและหนังสือจากฉัน เธออาจจะอยากคุยกันมากขึ้น

ครั้งนี้ ฉันขอให้พี่เลขาฯ กอง ส่งหนังสือเล่มที่มีผลงานของเธอมาให้ก่อน รู้สึกจะมีหลายเล่ม แต่ฉันเลือกเล่มที่มีบทกวีที่ฉันชอบ

นั่นคือ บทที่ชื่อ “แววตะวันวาดฟ้า” กับ “ปณิธานคนช่างฝัน” เธอคงจำผลงานของตัวเองได้…]

 

ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน ฉันจ้องดูตัวหนังสือในกระดาษจดหมายด้วยความตื่นตะลึง นิตยสารอีกสองเล่มก็ยังวางเป็นประจักษ์พยานอยู่ตรงหน้า ราวว่ามีน้ำทิพย์อาบลงมาชโลมใจ มีใครๆ อยากรู้จักฉัน เพราะได้อ่านบทกวีของฉัน! มีคนอ่านมัน! มีคนอ่านตัวหนังสือของฉัน!

แล้วเจ้าของจดหมายนี้เป็นใครกัน จดหมายของเธอช่างเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ไพเราะเหลือเกิน ลายมือก็สวย หัวกลมๆ เขียนตัวโตๆ แต่อ่านง่าย…มีคำลงท้ายในจดหมายว่า

[ถ้าหากเธอพอมีเวลา และพิจารณาว่าเราจะพอเป็นเพื่อนกันได้ ตอบจดหมายฉันมานะ

ฉันอยากจะเป็นมิตรของเธอ

ด้วยความศรัทธา

เพียงบัว

(รูปลายเส้นดอกไม้) จากเพียงบัว ถึงคนเดินทาง]

 

…จากเพียงบัว ถึงคนเดินทาง ฟังอ่อนหวานสวยงาม และเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกฉันด้วยนามปากกาที่ตั้งให้กับตัวเอง

เหมือนโลกทั้งโลกกลายเป็นสรวงสวรรค์ ฉันลืมสิ้นในสิ่งอื่นๆ ลืมแม้แต่ผู้หญิงร่างสูงที่เพิ่งคลุกคลีกันมา ถนอมเก็บหนังสือราวว่ามันคือสมบัติสำคัญ เช่นกันกับจดหมายซองยาวสีขาวนั้น ซองกระดาษที่บรรจุแสงวิบวับเกลื่อนกล่น จดหมายจากคนที่ชื่อ “เพียงบัว”