กาละแมร์ พัชรศรี : ฟาร์มวาซาบิที่ใหญ่ที่สุด และวิธีทำให้หายขึ้นจมูก!!

ในขณะที่นั่งเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ฉันอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ

มารอบที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ แต่มาทีไรก็สุขใจทุกที

คราวนี้มาแถวนาโงย่าค่ะ ขับรถไปตามเส้นทางมังกร (shoryudo) ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งเป็นฤดูที่ฉันชอบมากที่สุด

เหมือนธรรมชาติกำลังทำงานศิลปะให้เราได้ดู

มาครั้งนี้อากาศดีมากค่ะ ฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสทุกวัน แต่เอาจริงๆ ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร ฉันชอบมันเสมอ

เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราฝึกที่จะปรับตัวให้อยู่ได้แบบสบายใจ

ของแบบนี้ฝึกกันได้ แล้วเราจะอยู่ได้แบบไม่ทุกข์ร้อนกระวนกระวายเมื่อเจอสิ่งไม่ได้ดั่งใจ

อะไรเกิดขึ้น สิ่งนั้นดีเสมอ ทุกข์น้อยลง และมีความสุขง่ายขึ้น แค่นั้นเอง

 

ฉันเพิ่งไปเที่ยวชมฟาร์มวาซาบิมาค่ะ ชื่อ Daio Wasabi farm เป็นฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เขาส่งวาซาบิได้ปีละ 130 ตัน คิดเป็น 10% ของทั้งประเทศ และถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก (ก็แน่ละ จะมีประเทศไหนปลูกวาซาบิเท่ากับญี่ปุ่นเป็นไม่มี)

เราได้แต่กินตอนที่มันอยู่ในจานอาหารแล้ว ไม่เคยเห็นต้นกำเนิดมันสักครั้ง ไม่ใช่แค่คนต่างชาติอย่างเราอยากรู้ คนญี่ปุ่นเขาก็มาเที่ยวเช่นกัน

ฟาร์มนี้อยู่แถบจังหวัด Nagano (นากาโน่) คือช่วงกลางๆ ของประเทศ ไปถึงจะเจอคุณลุงแต่งชุดคล้ายนินจายืนรออยู่

คุณลุงแนะนำตัวเองว่าเป็น “นินจาวาซาบิ” ด้วยอาการยิ้มแย้ม รู้มาว่าก่อนหน้านี้คุณลุงเป็นนักข่าวและนักเขียนมาก่อน

แต่พอได้เขียนและเล่าเรื่องราวของที่ฟาร์มบ่อยเข้า ชีวิตก็พลิกผันมาทำงานที่ฟาร์มนี้เสียเลย

หน้าที่ของคุณลุงก็คือ ตามที่แกถนัดเลยค่ะ เป็นผู้รับคณะเข้าชม หรือเวลามีนักข่าวทั้งในและต่างประเทศมาถ่ายทำรายการ คุณลุงก็เป็นฝ่ายต้อนรับ เห็นว่าในรายการญี่ปุ่นต้องเห็นหน้าคุณลุงทุกครั้ง

คุณลุงแอบกระซิบว่า ปีหนึ่งรับแขกมาเที่ยวชมแบบนัดหมายประมาณสองร้อยกว่าวัน แต่ก็นั่นแหละ มันทำให้คุณลุงวัย 73 ดูแคล่วคล่องว่องไว หน้าตาสดใส เฉียบคม

และตลกอยู่เสมอ

 

คุณลุงมอบนามบัตรมาให้ ตำแหน่งเขียนน่าสนใจมาก “wasabi master”

แล้วคุณลุงก็เล่าเรื่องราวในฟาร์มให้ฟังว่า ที่นี่มีเนื้อที่ประมาณ 13 เอเคอร์ ใช้คนงานเพียง 20 คนเท่านั้น!!

มีเครื่องจักรเครื่องเดียวคือรถไถตัวเล็กๆ ที่เอาไว้ไถหินเพื่อยกแปลงปลูกวาซาบิ นอกนั้นใช้แรงงานคนล้วนๆ

แปลงวาซาบิเป็นหินล้วนเลยค่ะ ทำให้เพิ่งรู้ว่ามันปลูกอยู่ในหิน และมี “น้ำ” เป็นส่วนประกอบหลักในการเติบโต

น้ำใสเย็นที่ไหลผ่านแปลงวาซาบิมาจากบนภูเขาซึ่งมันผ่านชั้นหินมาหลายชั้นมาก แล้วมันผุดขึ้นมาจากพื้นดินขึ้นมาเรื่อยๆ อุณหภูมิน้ำคือ 13 องศาเซลเซียส ไม่ว่าจะฤดูไหนก็ตาม น้ำจะมีอุณหภูมินี้เท่านั้น และน้ำก็ใส สะอาดมาก มีแร่ธาตุในตัวเอง

เพราะฉะนั้น เวลาปลูกจึงไม่ต้องใช้ปุ๋ยอะไรเลย แต่มีน้ำไหลหล่อเลี้ยงไม่มีวันหยุดเท่านั้นเอง

ใช้เวลาประมาณ 2 ปีก็เก็บเกี่ยวได้ คุณลุงยังบอกด้วยว่า วาซาบิกินได้ตั้งแต่ต้นและใบ ซึ่งเขาจะเอาไปทอดทำเทมปุระบ้าง เอาไปทำผักดองบ้าง ซึ่งมีรสเผ็ดไม่แพ้ “ราก” ที่เราเอามาฝนกินกับซาชิมิ

คุณลุงเอาต้นวาซาบิที่เพิ่งเก็บเกี่ยวขึ้นมา เอามาให้เราได้ดูและลองชิมกัน

เราจะกินในส่วนของรากใหญ่ๆ ตรงกลาง ที่เรียกว่าตัวแม่ แล้วมันจะมีแง่งเล็กๆ ขึ้นด้านข้าง เราจะเรียกตัวลูก

คุณลุงใช้มีดที่แกพกติดตัว ตัด ฝาน หั่นอย่างคล่องแคล่วและส่งมาให้เราชิม

เพิ่งเคยกินแบบที่ไม่ได้ฝน คราวนี้สดยิ่งกว่าสดค่ะ มันก็ให้ความรู้สึกขมนิดๆ ปนสดชื่นๆ

 

คราวนี้คุณลุงเอามาฝนกับเขียงไม้หนังปลาฉลาม ซึ่งคุณลุงก็เหน็บเอวไว้ด้านหลัง แล้วให้เราชิมแบบฝนสดๆ คราวนี้ขึ้นจมูกโล่งเลยค่ะ

แล้วคุณลุงก็กินวาซาบิก้อนใหญ่ขึ้นมาเพียวๆ เลย คราวนี้เห็นน้ำตาคุณลุงเอ่อขึ้นมาและจมูกเริ่มบานๆ เราเข้าใจเลยว่า มันใหญ่มากจริงๆ แต่แทนที่คุณลุงจะตื่นเต้นไปกับเรา คุณลุงใช้วิธีหายใจเข้าทางปาก ทำติดต่อกันสัก 4-5 ครั้งก็ดีขึ้น พร้อมกับบอกว่าให้เราลองทำสิ

เอาละลองก็ลอง ฉันกินไปก้อนใหญ่ขึ้นกว่าตอนแรก 3 เท่าได้ แต่พออาการมันเริ่มออก ฉันก็ใช้วิธีของคุณลุงทันที ปรากฏว่า…

หายยยยยยเลยค่ะ!!!!!

ต่อไปเราจะได้ไม่ทุกข์ทรมานจากวาซาบิเกินขนาดกันแล้วละค่ะ

ในร้านค้าเต็มไปด้วยขนม อาหาร รวมทั้งไอศกรีมวาซาบิ มีให้ชิม เราก็ไม่พลาด ปรากฏว่าอร่อยมากค่ะทั้งคาวและหวาน

เรียกว่าเป็นการทำฟาร์มแบบครบวงจร ได้เงินครบทุกด้านจริงๆ ค่ะ