นพมาส แววหงส์ : INFERNO “นักถอดรหัสบันลือโลก”

นพมาส แววหงส์

นี่เป็นหนังสือขายดีของ แดน บราวน์ ในชุดที่มีนักสัญลักษณ์วิทยา “โรเบิร์ต แลงดอน” เป็นพระเอก ที่เริ่มด้วย Angels and Demons แล้วมาดังระเบิดเอาที่ The Da Vinci Code จนตามต่อมาอีกสองภาคด้วย The Lost Symbol และ Inferno ที่กำลังออกฉายอยู่ขณะนี้

ในโลกของภาพยนตร์ ทอม แฮงส์ สวมบทบาทเป็น ดร.โรเบิร์ต แลงดอน อาจารย์สอนสัญลักษณ์วิทยาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และถูกดึงเข้ามาให้คลี่คลายปมลึกลับที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ในปกรณัมปรัมปรา ประวัติศาสตร์และวรรณคดีของมนุษยชาติ

และ โรเบิร์ต แลงดอน ไม่ได้ถือกำเนิดบนจอภาพยนตร์ตามลำดับเรื่องราวในบรรณพิภพที่เรียงไว้ข้างต้นหรอกค่ะ

The Da Vinci Code กลายเป็นเรื่องแรกที่ปรากฏบนจอหนัง ตามต่อความดังระเบิดเถิดเทิงของหนังสือ ที่ให้แลงดอนแกะรอยปริศนาต่างๆ คลำไปจนเจอทายาทคนสุดท้ายในสายเลือดของพระเยซูคริสต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

และแถมมีเงื่อนงำที่บ่งบอกว่ามีองค์กรลับที่มีบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มากมายหลายคนพิทักษ์ปกป้องความลับสุดยอดนี้ไว้ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี

แดน บราวน์ ใช้ประวัติศาสตร์ปนเปผสานไปกับการคาดเดา เก็บเล็กผสมน้อย และสร้างหรือหยิบยืมการสร้าง “ทฤษฎีสมคบคิด” จากแหล่งต่างๆ และองค์กรลับที่พิทักษ์ปกป้องความลับสุดยอดของคริสต์ศาสนา

รวมทั้งองค์กรลับที่เห็นว่าความลับนั้นเป็นอันตรายต่อสถาบันหลักของมนุษยชาติและมุ่งร้ายทำลายให้สิ้นซาก

irrfan-khan-tom-hanks-posterบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างเช่น เลโอนาร์โด ดาวินชี และ เซอร์ไอแซ็ก นิวตัน ถูกนำมาเป็นจุดอ้างอิงให้น้ำหนักแก่เรื่องราวที่แต่งขึ้น และภาพเขียนบรรลือโลกที่ใครๆ ก็รู้จัก ถูกนำมาเป็นเงื่อนงำที่อธิบายความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเรื่องราว

ที่สำคัญคือ ภาพ “พระกระยาหารมื้อสุดท้าย หรือ The Last Supper ฝีมือ เลโอนาร์โด ดาวินชี ที่เรารู้จักและคุ้นตากันดี กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นความลับที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศาสนาตามที่เลโอนาร์โดเก็บงำไว้ อันได้แก่ สาวกที่นั่งข้างพระเยซูที่โต๊ะอาหารนั้นเป็นผู้หญิง

และเป็นหญิงที่อุ้มท้องทายาทของพระเยซูอยู่เมื่อถูกตรึงกางเขนต่อมา

เรื่องราวปริศนาอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน อันมีที่มาจาก “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่พร้อมจะแปรนิยายให้เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว The Da Vinci Code มีผู้กำกับฯ มือทองอย่าง รอน เฮาเวิร์ด และนักแสดงยอดฝีมือ ทอม แฮงส์ เป็นตัวชูโรง

เฮาเวิร์ดกับแฮงส์ (ซึ่งเคยร่วมงานกันมาแล้วหลายเรื่อง รวมทั้ง Apollo 13 ที่ได้รางวัลออสการ์) กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน Inferno ขณะที่ก่อนหน้านั้น ทอม แฮงส์ ยังคงเป็น โรเบิร์ต แลงดอน ที่ไขปริศนาลึกลับและอันตรายแข่งกับเวลาวิ่งพล่านไปทั่ววาติกันและกรุงโรมที่เต็มไปด้วยงานศิลปะงดงามของโบราณในภาคแรกของหนังสือชุด โรเบิร์ต แลงดอน Angels and Demons

ลำดับที่สามของหนังชุด โรเบิร์ต แลงดอน สร้าง Inferno ซึ่งเป็นหนังสือลำดับที่สี่เสร็จก่อน ขณะที่ The Lost Symbol กำลังสร้างอยู่ ผู้เขียนยังไม่ได้อ่าน The Lost Symbol หรอกค่ะ เลยพูดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

แต่ได้อ่าน Inferno มาก่อนได้ดูหนังนานก่อนที่หนังจะสร้างเสร็จและออกฉายอยู่ขณะนี้

การได้อ่านหนังสือมาก่อนทำให้ประสบการณ์การดูหนังอาจแตกต่างไปจากคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือ

แรกๆ หนังก็เดินเรื่องตามหนังสือดีอยู่หรอก แต่แล้วเกินครึ่งมาสักหน่อย ก็เริ่มแยกทางกับหนังสือ โดยให้ตัวละครสำคัญเปลี่ยนทิศทาง แถมตอนจบเป็นการพลิกเรื่องไปคนละทางเลย ซึ่งเป็นเรื่องน่าผิดหวังมาก

ข้อความต่อไปนี้อาจเป็นสปอยเลอร์อยู่บ้างนะคะ เพราะจะเขียนโดยหลีกเลี่ยงไม่บอกกล่าวเล่าสิบอะไรถึงองค์ประกอบสำคัญของหนังเสียเลยนั้นบางครั้งก็เลี่ยงได้ยากค่ะ

จะว่าไปแล้ว หนังก็สนุกนะคะในฐานะหนังแอ๊กชั่นทริลเลอร์แบบสืบสวนระทึกใจ พระเอกของเราตื่นขึ้นบนเตียงในโรงพยาบาลในลักษณะเลอะเลือนจำอะไรไม่ได้ มีแต่ภาพนิมิตพิสดารแว่บขึ้นในหัวอย่างไม่ปะติดปะต่อ

แลงดอนไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้มานอนป่วยจากการโดนลูกกระสุนถากหัวไป จนสูญเสียความจำซึ่งหมอบอกว่าเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่เท่าไรความจำของเขาก็จะกลับคืนมา

แน่นอนว่านี่เป็นกลวิธีในการเล่าเรื่องแบบที่ให้ตัวละครค้นพบอะไรๆ พร้อมๆ ไปกับคนดู ก่อนที่เราจะได้เจอแลงดอนที่โรงพยาบาลนี้ มีฉากไล่ล่าชายหนุ่มคนหนึ่ง (เบน ฟอสเตอร์) ไปจนมุมบนอาคารสูง และเลือกที่จะกระโดดลงไปตายมากกว่าจะโดนจับตัวไปบอกความลับที่เก็บซ่อนไว้

ด้วยความช่วยเหลือของสาวสวยที่เป็นแพทย์ดูแล เซียนนา บรุกส์ (เฟลิซิตี้ โจนส์ จาก The Theory of Everything) โรเบิร์ต แลงดอน หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่สังหารของคนที่เขาไม่รู้จัก และตามเงื่อนงำไปจนได้รู้ว่ามีมหาเศรษฐีนักชีววิทยาที่มีโครงการจะลดจำนวนประชากรโลกเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ

มหาเศรษฐีคนนั้นคือ เบอร์แทรนด์ โซบริสต์ (เบน ฟอสเตอร์) ที่โดดตึกลงมาตายตั้งแต่ต้นเรื่อง

เงื่อนงำนำแลงดอนและเซียนนาไปสู่ “หน้ากากมรณะ” ของ ดันเต อาลิกิอาริ มหากวีผู้ยิ่งใหญ่ของอิตาลีสมัยปลายยุคกลาง ผู้ประพันธ์ผลงานเรื่อง Divine Comedy ซึ่งบรรยายถึงการเดินทางของเขาไปในแดนต่างๆ คือ Inferno (นรก), Purgatory (แดนชำระวิญญาณ) และ Paradise (สวรรค์) จวบจนได้ประจันหน้ากับพระเจ้าผู้ซึ่ง “ไม่มีคำพูดที่ข้าพเจ้าจะบรรยายได้”

“หน้ากากมรณะ” ที่เป็นเงื่อนงำสำคัญชิ้นหนึ่ง คือหน้ากากของดันเตซึ่งศิลปินยุคหลังสร้างไว้และตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ปาลัซโซ เวคคิโอ ในฟลอเรนซ์ ซึ่งด้วยความช่วยเหลือและการขัดขวางของบุคคลต่างๆ รอบตัว แลงดอนตามไปจนถึงฮาเกียโซเฟีย และอ่างเก็บน้ำใต้ดินใจกลางเมืองอิสตันบูล

ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่โซบริสต์วาง “ระเบิดเวลาที่เป็นอาวุธทางชีวภาพ” ไว้ เพื่อให้ฝ่ายต่างๆ วิ่งแข่งกับเวลาไปปลดชนวน

ตอนจบของหนังที่พลิกไปคนละทางจากหนังสือ ทำให้ต้องตั้งคำถามในใจว่าของอย่างนี้ผู้ประพันธ์ที่น่าจะมีสิทธิ์มีเสียงที่มีน้ำหนักต่อคนสร้างหนัง ยอมให้เกิดได้อย่างไร เพราะทำให้หนังกลายเป็นคนละเรื่องไปเลยกับสารสำคัญที่หนังสือพูดไว้

สาระสำคัญของเรื่องซึ่งเป็นที่มาของปมปริศนาที่พระเอกกำลังติดตามนี้พลิกเรื่องให้จบเป็นหนังระทึกใจทั่วๆ ไป ไม่ได้ทิ้งผลกระทบทางใจอย่างแรงและหนักแน่นเหมือนในหนังสือ

ซึ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ของมหาเศรษฐีโซบริสต์ผู้ต้องการจะกอบกู้โลกไว้จากปัญหาประชากรล้นโลก

ตอนจบในหนังสือนั้น โซบริสต์ทำสำเร็จ ด้วยจุดพลิกผันในทางที่ใครๆ ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ขณะที่ในหนัง โซบริสต์ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ทิ้งผลกระทบที่โดนใจไว้เหมือนในหนังสือ

INFERNO “นักถอดรหัสบันลือโลก”

กำกับการแสดง
Ron Howard

นำแสดง

Tom Hanks
Felicity Jones
Ben Foster
Omar Sy
Irrfan Khan
Sidse Babett Knudsen