รายงานพิเศษ / ‘บิ๊กป้อม’ จัดแถวรับเลือกตั้ง เนรมิตฝัน ‘บิ๊กตู่’ กับ ‘ฝัน’ ของ ‘ยศนันท์’ บัวจะบานในกองทัพ และปรากฏการณ์ ‘ลือชัย 6’ แห่ง ทร.

รายงานพิเศษ

‘บิ๊กป้อม’ จัดแถวรับเลือกตั้ง

เนรมิตฝัน ‘บิ๊กตู่’

กับ ‘ฝัน’ ของ ‘ยศนันท์’

บัวจะบานในกองทัพ

และปรากฏการณ์ ‘ลือชัย 6’ แห่ง ทร.

 

สัญญาณการเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 เริ่มชัดขึ้น หลังมีข่าวสะพัดว่า ประเทศไทยจะมีข่าวดีในต้นเดือนพฤษภาคม 2562

แต่ท่าทีของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ก็ยิ่งน่าจับตามอง

แม้จะเปิดตัว พร้อมให้พรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ มาทาบทามเพื่อขอเสนอชื่อเป็นนายกฯ โดยที่ตนเองไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง

แต่เกมรับมือของ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. กับผลการเลือกตั้ง ที่อาจไม่คาดฝันนั้น น่าจับตามองยิ่ง

ในเมื่อไทม์ไลน์วันสำคัญถูกล็อกไว้แล้ว หลังการเลือกตั้งจะเรียบร้อยราบรื่นหรือไม่

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ออกตัวว่า “ถ้า ‘เสียของ’ อีก ผมก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง”

ทว่ากระแส “พลังดูด” ของพรรคพลังประชารัฐในโค้งสุดท้ายก่อนหมดเขตการย้ายพรรคนั้น ถูกทำให้ คสช.กระหยิ่มไม่น้อยว่า ชัยชนะรออยู่เบื้องหน้า

แม้จะต้องแลกกับการถูกตั้งข้อสงสัยว่า การที่อดีต ส.ส. หรือนักการเมืองพากันย้ายพรรค โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทยมาอยู่พรรคพลังประชารัฐนั้น เพราะถูกบีบและต่อรองกันด้วยเรื่องคดีความที่ติดตัวอยู่ ขณะที่บางคนแม้แต่ที่เป็นทหาร จำต้องย้ายพรรค เพราะถูกแจ้งว่ามีคดีรออยู่

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันว่า ตนเองไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ กับการย้ายพรรคของนักการเมืองคนไหน

บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ ก็ประกาศลั่นว่า พรรคพลังประชารัฐไม่เกี่ยวกับ คสช. แล้วจะมาต่อรองเรื่องช่วยให้หลุดพ้นคดีได้อย่างไร อีกทั้งเป็นเรื่องการพิจารณาของศาล

แม้ พล.อ.ประวิตรจะหลุดปากเอ่ยถึงพรรคพลังประชารัฐว่าเป็น “พรรคเรา” หลายครั้งแล้วก็ตาม

เพราะวงในแล้ว พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ผู้มากบารมี และเครือข่ายสายสัมพันธ์ ล้วนมีส่วนในการก่อกำเนิดและพลังดูดของพรรคพลังประชารัฐทั้งสิ้น

จึงไม่แปลกที่มักจะมีข่าวว่า มีบิ๊กทหาร “เด็กบิ๊กป้อม” อยู่เบื้องหลังพลังดูด โดยเฉพาะอดีต ส.ส.อีสาน และกระแสข่าวการเข้าพบ พล.อ.ประวิตรที่บ้าน ร.1 รอ. อยู่เนืองๆ

พร้อมๆ กับ ฉายา “ผู้จัดการรัฐบาล” ของ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ ที่ยังมีภารกิจในการที่จะช่วยให้ พล.อ.ประยุทธ์ น้องเล็กบูรพาพยัคฆ์ นั่งเก้าอี้นายกฯ หลังเลือกตั้งให้จงได้

โดยสั่งการให้กองทัพพร้อมรับเลือกตั้ง และวางตัวให้เหมาะสม เป็นกลาง และไม่เป็นเครื่องมือของพรรคใด พร้อมสั่งตอบโต้ชี้แจงข่าวสารบิดเบือนหรือภาพตัดต่อทันที

“ก็อยากให้ท่านนายกฯ เป็นนายกฯ ต่ออีก 4 ปี จะได้สานงานต่อให้จบ แก้ปัญหาตามยุทธศาสตร์ชาติที่เราวางเอาไว้” พล.อ.ประวิตรระบุ

แต่ว่ากันว่า ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า เสียงของประชาชนจะออกมาแบบไหน แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะถูกมองว่า “ออกแบบมาเพื่อฝั่ง คสช.” และมีทั้งตำรวจและทหารทั้งกองทัพ เป็นฝ่าย คสช.ก็ตาม

หากไม่เป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรคาดหวังและคาดหมายแล้ว “แผน 2” ของ 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ จะเป็นอย่างไร

กล่าวกันว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้ จะเป็นการชี้ชะตาประเทศไทยครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ “ตามแผน” และที่ไม่คาดฝัน

เพราะต้องยอมรับว่า ฝ่ายพรรคเพื่อไทยที่มีแนวโน้มว่าจะถูกยุบพรรคนั้น ตกอยู่ในสภาพเป็นรองในแง่ของรัฐธรรมนูญ และการแบ่งเขต และการนับคะแนน ส.ส.และปาร์ตี้ลิสต์

แถมมีบรรยากาศหลายอย่าง ก็ทำให้ฝั่งต่อต้าน คสช. ดูไม่คึกคักเท่าที่ควร

พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ

โดยเฉพาะหลังการเปิดตัวของบิ๊กยอร์ช พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีตรอง ผบ.ทหารสูงสุด ที่เข้าสมัครสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา แล้วเขาก็เงียบหาย ท่ามกลางกระแสข่าวมากมายที่เกิดขึ้น

หลังจากที่ถูก พล.อ.ประวิตร ในฐานะรุ่นพี่เตรียมทหาร 6 และ จปร.17 สั่งสอน ด้วยถ้อยคำรุนแรง “ไม่คิดถึงข้าวแดงแกงร้อน” หรือ “มันวิ่งเต้นตลอด” และ “จิ้งจก” สะท้อนการเปลี่ยนสี เปลี่ยนขั้ว

แต่ พล.อ.ยศนันท์  รุ่นน้อง ตท.16 และ จปร.27 ก็ไม่ตอบโต้ เพราะยืนยันว่า ยังเคารพนับถือ พล.อ.ประวิตร ทั้งในฐานะรุ่นพี่และอดีตผู้บังคับบัญชา “จึงคิดว่าพี่ป้อมท่านให้พร”

“ผมยังไม่เกษียณ ผมทำหน้าที่ทหารของผมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ให้การดูแลลูกน้อง ผมจำและประทับใจคำพูดของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดมาปฏิบัติตาม

“ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมยึดถือและทำตามมาตลอด

แต่เมื่อเกษียณ จบภารกิจแล้ว ความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เห็นต่างกันก็เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกันได้ แชร์ความคิดเห็นร่วมกัน อย่างนี้เขาถึงเรียกว่า… ประชาธิปไตย”

พล.อ.ยศนันท์ระบุ

 

การประกาศกลางพรรคไทยรักษาชาติ เรียกร้องให้ทหารทุกคนหันเข้ามาหาประชาชน ทหารต้องยืนเคียงข้างประชาชน เพราะตลอด 4 ปีของการปฏิวัติรัฐประหาร กว่า 4 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า ประเทศชาติไม่เจริญก้าวหน้า ประชาชนเดือดร้อน เศรษฐกิจไม่เติบโต…” นั้น ไม่ใช่เพราะเพิ่งคิดแบบนี้ เพื่อต้องการจะมาเป็นนักการเมือง

แต่ พล.อ.ยศนันท์มีแนวคิดนิยมประชาธิปไตยเช่นนี้มาตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ที่เขาเคยเขียนบทความลงในนิตยสารทางทหาร “ตะวันใหม่” ในปี 2522 เป็นบันทึกจากนักเรียนนายร้อย จปร. เรื่อง “บัวจะบานในกองทัพ” ที่กล่าวถึงประชาธิปไตยและเผด็จการทหาร ที่มีท่อนหนึ่งระบุว่า เครื่องแบบทหารไม่สามารถครอบความรู้สึกให้คนผู้นั้น ให้ขาดความคิดอันอิสระ มีความคิดเป็นเผด็จการ ไม่ปรารถนาความเป็นธรรมในสังคม ได้ไม่…สูงสุดคือประชาชน”

อันเป็นตอนที่เป็น พล.อ.ยศนันท์ เป็นนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 5 ได้เป็นนักเรียนปกครอง และหัวหน้าตอน สาขากฎหมายและสังคมศาสตร์ เขาได้นำร่างนโยบาย 66/23 ที่อาจารย์นำมาให้อ่าน แล้วให้เขียนบทความบันทึกนักเรียนนายร้อย ในเรื่องการใช้ยุทธศาสตร์สร้างประชาธิปไตยก่อน เผด็จการคอมมิวนิสต์ เพื่อขจัดเงื่อนไขสงคราม

จนทำให้เขาสนใจเรื่องประชาธิปไตยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเรียนรู้แนวคิดของป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และบิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และได้เรียนรู้การเมืองไทย ในขณะที่เป็นนายทหารติดตามบิ๊กเสือ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ รวมทั้งการไปฝึกอบรมในสหรัฐอเมริกาหลายหลักสูตร จนทำให้เมื่อเติบโตมาเป็นนายทหาร จึงไปเรียนปริญญาโทรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์

แม้เส้นทางรับราชการทหารจะทำให้ถูกมองว่าได้ดีในยุค “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และเข้ากรุตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 จนถึง 22 พฤษภาคม 2557 ก็ตาม แต่ด้วยสายสัมพันธ์กับนายทหารที่ใกล้ชิดนายทักษิณหลายคน และจุดยืนของพรรคไทยรักษาชาติ จึงทำให้ พล.อ.ยศนันท์เลือกเส้นทางเดินสู่ถนนการเมือง

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ตนเองจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง… แต่ก็กลายเป็นปรากฏการณ์ “ยศนันท์”

พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์

ขณะที่ก็เปิดปรากฏการณ์ในกองทัพเรือ หลังจากที่บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. ประกาศตัวจะลงแข่งขัน “ไตรกีฬา นาวี เดอะซีรี่ส์” ทั้ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน และวิ่ง ทั้ง 5 สนาม ในรอบ 1 ปี ต่อจากนี้ เขาก็ถูกจับจ้องว่า จะอยู่รอดปลอดภัยจากการแข่งขันทุกครั้งหรือไม่

จนทำให้กลายเป็น ผบ.เหล่าทัพที่โดดเด่นในเรื่องความฟิต เพราะเป็นนักกีฬาวิ่งมาราธอน และไตรกีฬามาก่อนอยู่แล้ว

แถมส่งผลให้ทหารเรือ ทั้งกองทัพ ไม่ใช่แค่ ผบ.หน่วย ที่จะต้องลงแข่งขันเท่านั้น แต่กำลังพลทั่วไปด้วย เพราะเห็น พล.ร.อ.ลือชัยออกกำลังกายและฟิตซ้อมด้วยตัวเองตลอด แม้จะไม่ได้เอาผลการแข่งขันมาใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายก็ตาม

พล.ร.อ.ลือชัยเป็น ผบ.ทร. ในจำนวนไม่กี่คน ที่ไม่ยอมมาพักที่บ้านพักรับรอง ผบ.ทร. ที่ข้างวัดอรุณฯ ทั้งๆ ที่บ้านส่วนตัวอยู่ไกลถึงบางนา

จนทำให้ พล.ร.อ.ลือชัยต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อที่จะเตรียมตัวเดินทางมาทำงานที่ บก.ทร.พระราชวังเดิม ในเวลาไม่เกิน 7 โมงเช้า

 

กล่าวกันว่า เหตุผลหนึ่งที่ พล.ร.อ.ลือชัยไม่ยอมย้ายมาเพราะชินกับการอยู่บ้านส่วนตัว และไม่อยากต้องย้ายข้าวของ ทั้งๆ ที่จะต้องเป็น ผบ.ทร. 2 ปีก็ตาม

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งนั้น เพราะมีซินแสส่วนตัวดูทิศทางบ้านและสถานที่แล้ว ไม่ถูกโฉลก พล.ร.อ.ลือชัยที่มีความเชื่อในเรื่องโชคชะตา เวลาตกฟาก และฮวงจุ้ยอย่างมาก จึงไม่ได้อยากไปปรับเปลี่ยนอะไรในบ้านรับรอง จึงอยู่บ้านส่วนตัว

เพราะเมื่อขึ้นมาเป็น ผบ.ทร. แล้วมานั่งทำงานที่พระราชวังเดิม กองทัพเรือ พล.ร.อ.ลือชัยก็มีการปรับภูมิทัศน์ไปหลายสิ่งอย่าง ทั้งการปลูกต้นไผ่แบบจีน การปรับห้องทำงานเป็นแนวสามก๊ก เพราะเคารพนับถือ “กวนอู” และเปิดเพลงบรรเลงแบบจีนๆ ในห้องทำงานตลอดด้วย

ที่สำคัญคือ พล.ร.อ.ลือชัยจะให้ความสำคัญกับ บก.ทร.พระราชวังเดิม ในการใช้งาน ทำภารกิจมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นพระราชวังของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ส่วนอาคาร บก.ทร. วังนันทอุทยาน นั้น เป็นที่ทำงานของฝ่ายอำนวยการ

จึงไม่แปลกที่ พล.ร.อ.ลือชัยจะเลือกไปเยือนจีนเป็นประเทศแรก หลังรับตำแหน่ง ผบ.ทร. และสะท้อนความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีน หลัง ทร.จัดซื้อเรือดำน้ำลำแรกไปแล้ว และตามแผนจะต้องจัดซื้อให้ครบ 3 ลำ

เพราะ พล.ร.อ.ลือชัยเป็นคนที่ทำโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจีนมาตั้งแต่เป็น เสธ.ทร. และเป็นคนเจรจาต่อรองกับจีนมาตลอด จนทำให้สนิทสนมกับกลาโหมจีน

 

การไปเยือนจีนครั้งนี้ นอกจากจะได้หารือกับ ผบ.ทร.จีนแล้ว ยังได้พบหารือกับ รมว.กลาโหมจีนคนใหม่ และคุยกันนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรก็ได้พบหารือกับ รมว.กลาโหมจีนในการประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน พลัส ที่สิงคโปร์ จึงทำให้เลื่อนการเดินทางไปจีน

ท่ามกลางกระแสข่าวการขยับโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ให้กระชับขึ้น แต่ก็ต้องรอดูว่า ใครจะเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งกุมภาพันธ์ 2562 เพราะหากเป็นพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ก็เสี่ยงที่โครงการเรือดำน้ำอีก 2 ลำจะจมหาย แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ ทาง ทร. และ พล.อ.ประวิตรก็เชื่อมั่นว่าจะสานต่อ ไม่ว่า พล.อ.ประวิตรจะกลับมาเป็นรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม หรือไม่ก็ตาม

เพราะยังเชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรก็จะยังเป็น “ผู้มีบารมี” ในรัฐบาลและกองทัพ ยุคบิ๊กตู่ต่อไปตามเดิม

“ผมจะอยู่เฉยๆ รอคนมาเชิญ” บิ๊กป้อมแบะท่า พร้อมมาเป็น รมต.

“แต่ถ้าจะให้เป็นนายกฯ ไม่ไหว แก่แล้ว เป็นนายกฯ ยิ่งเหนื่อยใหญ่” พล.อ.ประวิตรระบุ

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าปรากฏการณ์ทางการเมือง หรือในกองทัพ ล้วนเกี่ยวโยงกัน และเชื่อมโยงกับบิ๊กป้อม พี่ใหญ่และน้องตู่  ที่กำลังเดินไปสู่ปลายทางที่ไม่มีใครรู้เช่นกันว่ามีอะไรรออยู่