บทความพิเศษ / นงนุช สิงหเดชะ/น่าลุ้นผลสะเทือนต่อ ‘รปช.-คสช.’ กรณีอดีตสมาชิก ‘นกหวีด’ โจมตี ‘สุเทพ’

บทความพิเศษ  / นงนุช สิงหเดชะ

น่าลุ้นผลสะเทือนต่อ ‘รปช.-คสช.’

กรณีอดีตสมาชิก ‘นกหวีด’ โจมตี ‘สุเทพ’

ปฏิบัติการ “เดินคารวะแผ่นดิน” ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) อันเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่จัดตั้งขึ้นและประกาศชัดว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ ดูเหมือนจะสร้างความร้อนแรงทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

รปช. เป็นพรรคที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์และอดีตแกนนำ กปปส. หรือที่รู้จักในชื่อกลุ่มนกหวีด เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงการจัดตั้งพรรค มี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หรือหม่อมเต่า เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนนายสุเทพไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองในพรรคนี้

ถึงกระนั้นก็ตามนายสุเทพถูกโจมตีว่าผิดสัญญา เพราะหลังม็อบยุติและ คสช.ยึดอำนาจ นายสุเทพเคยประกาศว่าจะไม่เล่นการเมืองอีก

การเดินคารวะแผ่นดิน เพื่อหาสมาชิกพรรค รปช. ที่มีนายสุเทพเป็นแกนนำในการออกเดิน กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีทั้งคนต้อนรับและไม่ต้อนรับ

แน่นอนประเด็นบวกหรือการมีคนต้อนรับ ย่อมไม่เป็นข่าวใหญ่หรือข่าวเด่น

ส่วนประเด็นคนไม่ต้อนรับย่อมเป็นข่าวใหญ่ ชิ้นโอชะ โดยเฉพาะจากสื่อที่อยู่ตรงข้ามกับนายสุเทพ หรือสื่อสายแดง สายดาร์ก สื่อเหล่านี้จะพยายาม “ขยี้” หรือเน้นประเด็นที่ว่าทุกวันที่ออกไปเดิน จะมีคนต่อต้าน ด่าทอและคืนนกหวีดให้กับนายสุเทพ ในขณะที่จะละเว้นหรือหลีกเลี่ยงการรายงานประเด็นที่มีคนมาให้กำลังใจ

พร้อมกับสรุปว่า ทุกวันนี้คนกรุงเทพฯ ไม่รักลุงกำนันสุเทพเหมือนเดิม ซึ่งโดยรวมแล้วก็พยายามจะดิสเครดิตนายสุเทพและพลังของกลุ่มนกหวีด ในทำนองว่าไปหลงเชื่อ เป็นเหยื่อให้นายสุเทพหลอกใช้

 

ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเป้าหมายจริงๆ ของการเดินคารวะแผ่นดิน นอกจากเพื่อหาสมาชิกพรรคแล้ว ยังมีเป้าหมายอื่น เช่น ต้องการวัดคะแนนนิยมของพรรคด้วยหรือไม่ หรือต้องการหยั่งบรรยากาศก่อนการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ภาพที่เห็นภายนอก เช่น การมีคนด่าทอว่านายสุเทพทำให้เศรษฐกิจพัง การมีคนมาคืนนกหวีดเพราะอ้างว่าผิดหวังนายสุเทพ ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนเหล่านี้ทั้งหมดเคยร่วมต่อสู้กับนายสุเทพ เพราะทุกสถานที่ที่ไปย่อมมีคนทุกสี ดังนั้น คนที่ด่าและต่อต้านนายสุเทพอาจไม่ใช่สมาชิก กปปส.ทั้งหมด อาจมีฝ่ายตรงข้ามรวมอยู่ด้วย เพียงแต่ได้ช่องก็ถือโอกาสด่าเสียเลย

แต่ในบางรายก็ต้องยอมรับว่าเป็นของจริง เช่น กรณีของนายปนิธิ แสนปราชญ์ ที่ออกมาเขียนจดหมายยาวเหยียดถึงนายสุเทพ โดยสรุปก็คือ โจมตีนายสุเทพและ คสช. พร้อมกับบอกว่าหลงผิดที่ร่วมต่อสู้กับนายสุเทพ จึงอยากขอโทษประชาชน

ประเด็นของนายปนิธิ นับว่าเป็นเหยื่ออันโอชะในเชิงข่าวสำหรับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามนายสุเทพและ กปปส. เนื่องจากเป็นโอกาสงามที่จะหยิบมา “ขยี้” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อหวังเร่งขยายผลสะเทือน

มีการ “เลี้ยงข่าว” หรือ “ต่อยอด” ข่าวกันเป็นระยะ

 

ที่จริงความเห็นและความรู้สึกของนายปนิธิ ก็เป็นสิทธิส่วนตัวที่จะแสดงออกมาได้ แต่จุดอ่อนอยู่ตรงที่ในระยะหลังไปให้สัมภาษณ์กับสื่อแดงหรือสื่อในสายทักษิณ จึงคล้ายคำพังเพยว่าเตะหมูเข้าปากหมา (ส่งผลประโยชน์ให้กับผู้อื่นหรือฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ได้ตั้งใจ) จึงทำให้น้ำหนักลดน้อยลง

เนื่องจากแรกที่ยอมร่วมต่อสู้กับนายสุเทพนั้น นายปนิธิก็ย่อมทราบดีว่าเป็นการต่อต้านโค่นล้มอำนาจของพรรคการเมืองซีกคุณทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

แต่พอไม่สบอารมณ์นายสุเทพ เพราะหลายอย่างไม่เป็นไปดังหวัง แล้วทำท่าคล้ายจะกลับมาเป็นพวกเดียวกับเครือข่ายคุณทักษิณ จึงอาจทำให้หลายคนงงกับจุดยืนของนายปนิธิ กระทั่งอาจถูกตั้งคำถามว่าจุดประสงค์ที่ออกมาโจมตีนายสุเทพและ คสช.คืออะไรกันแน่

ดูไปแล้วคล้ายกับกรณีของนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่อยู่ๆ ก็ออกมาโพสต์ขอโทษและยกย่องคุณทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ พร้อมกับเผาบ้านเก่าอย่างประชาธิปัตย์ว่าสมคบกับทหารยึดอำนาจยิ่งลักษณ์ ก่อนที่เวลาต่อมาจะย้ายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย

สมาชิกประชาธิปัตย์เตือนนายนครว่า หลังจากเผาบ้านเก่าตัวเองแล้ว นายนครจะย้ายไปอยู่พรรคไหนก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นพรรคเพื่อไทย เพราะจะทำให้สิ่งที่นายนครพูดมานั้น ไร้น้ำหนัก เป็นการพูดเพื่อเอาใจทักษิณและพรรคเพื่อไทยเพราะอยากย้ายไปอยู่ด้วย

คำพูดของนายปนิธิและนายนคร จะมีน้ำหนักมากขึ้น หากออกมาเผาบ้านเก่าแล้วไม่เข้าไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเองเคยโจมตีหรือไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรม

จะเห็นว่าหลายคนที่เคยสนับสนุน กปปส. เช่น นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ติงเตือนนายสุเทพว่า ให้เลิกเดินคาวระแผ่นดิน เพราะไม่มีใครเชื่อแล้ว แต่นายอาทิตย์ก็ยังอยู่ในที่ในทางของตัวเอง ไม่ได้กระโดดไปเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายหนึ่ง

เช่นเดียวกับดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค ที่โพสต์เฟซบุ๊ก ตำหนินายสุเทพว่ากลับคำหลังจากเข้าไปมีส่วนร่วมตั้งพรรค รปช. แต่ดี้ก็ยังอยู่ในที่ในทางของตัวเอง ไม่ได้โจมตีว่าสิ่งที่เคยต่อสู้ร่วมกับนายสุเทพนั้นผิด

 

หากนายปนิธิยังเดินหน้าในลักษณะดิสเครดิตนายสุเทพและ กปปส.แบบไม่หยุดหย่อน อาจจะเพื่อไม่ให้พรรค รปช.ได้รับเลือกจากประชาชนเพื่อเป็นฐานอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ต่อไปอีก คน กปปส.อีกจำนวนไม่น้อยก็จะตั้งคำถามว่า แล้วนายปนิธิกับพวกอยากให้ใครหรือพรรคใดเป็นรัฐบาล

เนื่องจากดูแล้วมีทางเลือกน้อยมากที่พรรคอื่น นอกเหนือจากพรรคเครือข่าย คสช.และพรรคเครือข่ายทักษิณ จะได้จัดตั้งรัฐบาล

ยิ่งแสดงออกซึ่งการต่อต้านนายสุเทพและ คสช.มาก คำตอบก็จะแจ้งชัดว่านายปนิธิหันไปสนับสนุนซีกทักษิณอย่างไม่ตั้งใจ ที่ตัวเองเคยขับไล่

ดังนั้น ในที่สุดแล้ว แทนที่จะโจมตี คสช.และนายสุเทพได้สำเร็จ ก็อาจจะกลายเป็นบูมเมอแรงก็ได้

อย่างไรก็ตาม จดหมายของนายปนิธิ เนื้อหาหลายอย่างก็นับว่าทาง คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ควรเก็บมาพิจารณา เช่น การไม่ปฏิรูปตามที่สัญญา การเสพติดอำนาจ การใช้วาจาแบบคนเจ้าอารมณ์ ซึ่งหลายคนก็ผิดหวังในบุคลิก การแสดงออกของ พล.อ.ประยุทธ์ที่นับวันเข้ารกเข้าพง ขาดความสุขุม สำรวม ไม่น่านับถือ

ที่น่าผิดหวังมากและน่าจะทำให้เสียศรัทธา สำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือ การที่กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณ 2562 มากเป็นอันดับ 4 และยังได้รับเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง แต่กระทรวงศึกษาธิการกลับได้รับงบประมาณลดลง ทั้งที่มีความสำคัญมาก

ความจริงแล้วกระทรวงกลาโหมควรได้รับงบประมาณอยู่ในอันดับ 15 ลงไปด้วยซ้ำเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าในที่สุดก็ยังเอาพวกพ้องเป็นหลัก