ในประเทศ / by Design 350 ที่นั่ง

ในประเทศ

 

by Design

350 ที่นั่ง

 

18 พฤศจิกายน 2561 ที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ

ต้องถือเป็นวันสำคัญพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

เพราะเป็นวันเปิดรับสมาชิกอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก

มีแกนนำสำคัญมาสมัครคับคั่ง

และแต่ละคน ได้ “แย้มพราย” ที่มาและที่ไปของพรรคการเมืองนี้

สมควรบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยยิ่ง

 

นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศกับสมาชิกพรรคว่า

“ภายใต้พรรคพลังประชารัฐ ประเทศไทยจะก้าวสู่ความสงบ ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน”

“พวกเรามากันหลากหลาย เปิดกว้างให้กลุ่มคนเดิม คนรุ่นเก่าแต่เก๋าด้วยประสบการณ์ และคนรุ่นใหม่ไฟแรง ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากที่สุด”

“ยืนยันพวกเราไม่มีตัวแทนอื่นใด ไม่มีพรรคสำรอง มีพรรคเดียวคือพลังประชารัฐ” นายอุตตมกล่าว

ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า

“วันนี้เป็นการประกาศศักดิ์ดาของพลังประชารัฐ และผมไม่เชื่อสายตาว่าวันนี้เราจะสามารถรวบรวมคนได้มาก แปลว่าพรรคนี้ประมาทไม่ได้ และมีคนบอกว่าพลังประชารัฐมีแค่ 4 กุมาร ผมก็มองว่าอายุจะ 60 ปีกันหมดแล้ว จะเป็น 4 กุมารได้อย่างไร แต่วันนี้ข้างหลังกุมารมีนินจา”

“ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือพลังประชารัฐที่ทุกคนมาอยู่ร่วมกัน มาเยอะขนาดนี้จะไม่กวาด 350 เสียงได้อย่างไร”

 

ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวว่า ประสบการณ์สมัยอยู่พรรคไทยรักไทย (ทรท.) ขณะนั้นคิดว่ายิ่งใหญ่แล้ว แต่วันนี้เป็นความยิ่งใหญ่มากกว่าสมัยเปิดพรรคไทยรักไทย”

“วันนี้มีผู้สมัคร 350 คน และบัญชีรายชื่อรวม 500 คน คุณภาพคับแก้วทั้งนั้น”

“อยากขอกล่าวถึงเบื้องหลังกลุ่มสามมิตร โดยเมื่อประมาณวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือ สมัยอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน คงไม่ขอเอ่ยชื่อ น่าจะทราบกันดี ท่านบอกว่าถ้าไม่มีพรรคทางเลือกใหม่ให้ประชาชน การเลือกตั้งครั้งใหม่ 2 ขั้วเดิมมา เมื่อเลือกตั้งเสร็จ คงจะเกิดวิกฤตทางการเมืองอีก ซึ่งจะเกิดเหตุการณ์ที่ทหารเข้ามา ถ้าไม่ต้องการเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นก็ต้องมาเป็นพรรคทางเลือกใหม่ ท่านให้ผมช่วยประสานกลุ่มต่างๆ มาร่วมอุดมการณ์นี้”

“เราได้ผู้สมัครครบ 500 คน ต่อไปนี้จะเป็นหลักชัยที่ 2 ที่จะต้องทำให้ได้คือต้องชนะเลือกตั้งให้ได้อย่างน้อย 150 คน ผมพูดจากประสบการณ์ทางการเมืองและได้ทำโพล ปรึกษากับอดีต ส.ส. มั่นใจว่าได้แน่นอน 150 เสียง”

ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่เราเข้าสู่สนามเลือกตั้ง จะบอกว่าง่ายก็ง่าย แต่ต้องยอมว่ากระแสตกค้างความนิยมของพรรคคู่แข่งที่มีมากพอสมควร แต่ขอให้ทุกคนทำความเข้าใจในแนวนโยบายของพรรค โดยเฉพาะผู้สมัครที่อยู่ต่างจังหวัด จะต้องเร่งสร้างความเข้าใจ เพราะบ้านเมืองเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมามีความวุ่นวายแตกแยก เพิ่งจะดีเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา เราจะทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนที่มีความรู้สึกต่อพรรคการเมืองเก่าให้เห็นข้อเท็จจริง จึงอยากฝากผู้สมัครทุกคนไว้”

“ผมไม่ใช่จะเก่งกล้า แต่ด้วยประสบการณ์จากการเลือกตั้ง 10 สมัย อยากบอกว่าถ้าเราไม่นำสิ่งดีๆ ที่มีเข้าไปเปลี่ยนความรู้สึกของคนที่มีกระแสเดิมอยู่ โอกาสเพื่อนำไปสู่ชัยชนะก็จะยาก”

“การเลือกตั้งครั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา เราจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป้าหมายทุกคะแนนมีความสำคัญ ฉะนั้น ตัวบุคคลในแต่ละเขตแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนให้ได้ เพราะทุกคะแนนมีความสำคัญมาก” นายสมศักดิ์กล่าว

 

จะพบคีย์เวิร์ดสำคัญๆ จากแกนนำพรรคพลังประชารัฐ หลายคำและหลายวลี

อาทิ จากนายสนธิรัตน์ ก็คือ พรรคนี้ไม่ใช่มีเพียง 4 กุมาร แต่ข้างหลังมี “นินจา”

และพรรคพลังประชารัฐจะไม่กวาด “350 เสียง” ได้อย่างไร

นายสุริยะ พรรคพลังประชารัฐ ยิ่งใหญ่กว่าพรรคไทยรักไทย

และการตั้งพรรคการเมือง มีการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมี “ผู้ใหญ่” มาชักชวน

ขณะที่นายสมศักดิ์ระบุว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา เราจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้”

คีย์เวิร์ดที่หลุดออกมาจากปากของคีย์แมนเหล่านี้ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของพรรคนี้

ไม่ว่า นินจาที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่า ความพร้อมที่จะกวาด ส.ส.เป็นที่ 1 (350 เสียง)

และที่สำคัญ มีการดีไซน์เพื่อให้เกิดความพร้อมและความยิ่งใหญ่ให้กับพรรคพลังประชารัฐ ผ่าน “รัฐธรรมนูญ”

จึงไม่น่าแปลกใจที่พรรคนี้จะ “ปัง” ทันทีเมื่อเปิดตัว และนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

 

จนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกมาอธิบายว่า การประกาศว่า พปชร.จะกวาด ส.ส. 350 ที่นั่งนั้น ถือเป็นการพูดเพื่อให้เกิดกำลังใจในการทำงานทั้ง 350 เขต และเกิดความเข้มแข็งในพื้นที่

“เป็นเพียงวาทกรรมให้กำลังใจ ไม่ได้หมายความว่าเราจะกวาด 350 เขต ซึ่งทางการเมืองเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”

เช่นเดียวกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อธิบายว่า ส่วนตัวไม่คิดว่าพรรค พปชร.จะได้เปรียบคู่แข่งอย่างที่มีเสียงวิจารณ์ เพราะมีทั้งได้เปรียบและเสียเปรียบ เนื่องจากเป็นพรรคใหม่ที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก ดังนั้น หากต้องการได้ ส.ส.จำนวนมาก ผู้สมัครจะต้องใช้ความขยัน อดทน เดินเข้าหาประชาชนทุกพื้นที่ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในแนวนโยบายของพรรค

“ที่บอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรานั้น ยอมรับว่าพูดจริง แต่ในความหมายนั้นได้หมายถึงพรรคการเมืองขนาดกลาง และพรรคการเมืองขนาดเล็ก รวมถึงพรรคการเมืองหน้าใหม่ที่ไม่มีฐานเสียงมาก่อน การพูดเป็นการปลุกใจให้บรรดาผู้สมัครหน้าใหม่ๆ ได้ลงพื้นที่ใกล้ชิดประชาชน เพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้ รัฐธรรมนูญเขียนให้ทุกคะแนนเสียงนั้นมีค่า แม้จะไม่ได้ ส.ส.ในระบบเขต แต่ทุกคะแนนที่ประชาชนวางใจเมื่อสะสมในทุกจังหวัด สามารถทำให้ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แม้ประเด็นนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ไปสนใจ และไม่คิดจะไปตอบโต้ให้เป็นประเด็นยืดยาว เพราะจุดเด่นของพรรค พปชร.นั้น ไม่นิยมความขัดแย้ง ต้องการให้ประเทศสงบ”

แม้จะออกตัวเป็นเพียงวาทกรรมและการเปรียบเปรย

แต่ดูเหมือนจะมีคนไม่น้อย “เชื่อ” ว่า พรรครวมพลังประชารัฐมีแต้มต่อเหนือคนอื่น โดยถูกออกแบบเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

และกำลังจะปรากฏแก่สายตาของประชาชน

 

หนึ่งในนั้นคือ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2561 ให้ กกต.ขยายเวลาแบ่งเขตเลือกตั้งออกไป

แม้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย จะอธิบายว่า เหตุผลการออกคำสั่งดังกล่าวนั้นก็เพื่อคุ้มครอง กกต.ที่ชี้แจงก่อนหน้านี้ว่าจะประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งวันที่ 5-7 พฤศจิกายน ปรากฏว่าไม่เสร็จ ประกอบกับช่วงดังกล่าวประธาน กกต.ไปรักษาตา อีกทั้ง กกต.เองก็มีความเห็นต่างกัน

ประกอบกับมีผู้ร้องเรียนจำนวนมากผ่าน คสช.

กกต. รัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย จึงเห็นว่าต้องใช้วิธีออกคำสั่งในเชิงบริหารเพื่อคุ้มครองให้ กกต.พิจารณาทบทวนหรือดำเนินการใหม่ได้ โดยไม่กระทบกับเวลาหรือโรดแม็ปใดๆ

แต่ดูเหมือน คนไม่น้อย ไม่เชื่อ และมองว่า มีเป้าหมายมุ่งไปเอื้อให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่มีท่าทีหนุนรัฐบาล

โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีท่าทีดุเดือด โดยระบุว่า

“ผมเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมีคนมาต่อรองกับอดีต ส.ส. เอาเรื่องนี้มาต่อรองว่าถ้าไปอยู่พรรคนั้นก็จะแบ่งเขตเลือกตั้งให้แบบนี้ ถ้าไม่อยู่ก็จะแบ่งเขตอีกแบบหนึ่ง สงสัยว่าอำนาจการแบ่งเขตเลือกตั้งที่เป็นของ กกต.ทำไมมีคนกล้าอ้างว่าสามารถเข้าไปมีอิทธิพลแทรกแซงได้ คำสั่ง คสช.ที่ออกมา หากมีการแบ่งเขตเช่นนั้นจะบั่นทอนความเชื่อถือของการเลือกตั้งอย่างมาก ยังหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะสงบเรียบร้อย แต่ถ้าไม่แก้ตรงนี้ก็จะซ้ำรอยเดิม อย่าทำเลย เพราะทุกคนเข้าสู่การเลือกตั้งได้ วันนี้ความจริงท่านได้เปรียบเรื่องอื่นๆ อยู่แล้ว หลบเลี่ยงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว ถ้าทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผู้เสียหายคือประเทศ และจะถูกตั้งคำถามเป็นปัญหาเปล่าๆ”

ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากเตือนว่าการทำอะไรที่ฝืนหลักความจริง ฝืนความรู้สึกของประชาชน และฝืนกฎหมาย ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะเป็นการกระทำที่ทำในช่วงที่ประเทศได้ประกาศไปทั่วโลกว่าเรากำลังจะคืนประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศ

“การเลือกตั้งต้องเกิดความบริสุทธิ์ ยุติธรรมจริงๆ  กกต.จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และจะต้องพิสูจน์ให้ประชาชนทั่วไปได้มีความมั่นใจในผลของการเลือกตั้งครั้งนี้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

นี่คือปฏิกิริยาร้อนต่อพรรครวมพลังประชารัฐ ที่ถูกจับตาว่า มี “การดีไซน์” สิ่งต่างๆ ในหลายรูปแบบไว้ล่วงหน้า เพื่อหวังก้าวสู่ชัยชนะและสืบทอดอำนาจของผู้ที่กุมอำนาจอยู่ขณะนี้