วางบิล/ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ แพร่งกาสาวพัสตร์

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์          

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

แพร่งกาสาวพัสตร์

แม้หน้าที่การงานของพระปานก่อนบวชมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมือง แต่ด้วยเหตุที่ชีวิตของพระปานมักชอบการเคลื่อนไหวทางการเมือง คือ การแสดงความคิดเห็น คบหาสมาคมกับเพื่อนที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง การลาบวชครั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เป็นหนึ่งในหลายเหตุผล

รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับจงจิตซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ

เมื่อเพื่อนอุตส่าห์มาบอกกล่าวชักชวนให้สึกออกไปทำงาน แต่พระปานได้ตัดสินใจไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะบวชต่อไปให้ครบพรรษา จึงบอกเพื่อนไปว่าคงจะบวชอีกสักพักหนึ่ง อย่างน้อยออกพรรษาแล้วจึงตัดสินใจใหม่ ทั้งได้บอกกับโยมแม่ส้มจีนไปก่อนนี้แล้ว จึงไม่อยากให้โยมแม่ต้องผิดหวัง

พระปานได้ไปขออนุญาตกับท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสหลังหารือกับพระครูพรหม พระมหาสวัสดิ์ ท่านทั้งสองไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด ทั้งพระปานพอจะทราบมาว่า การที่พระจะบวชต่อหรืออยู่ในผ้าเหลืองมิได้มีความผิดอื่นใดถึงกับปาราชิก หรือมิได้เป็นความประสงค์ของภิกษุผู้นั้น ภิกษุนั้นยังคงเป็นภิกษุต่อไปจนกว่าจะเอ่ยคำขอลาอุปสมบท ซึ่งต้องกระทำต่อหน้าภิกษุ ส่วนมากมักนิมนต์พระ 4 รูปมารับรู้

มีรูปหนึ่งเป็นประธาน

 

การลาสิกขามิได้มีพิธีรีตองมากนัก แม้ผู้ที่ต้องการลาสิกขาไม่ว่าจะครบกำหนด เช่น ตั้งใจบวช 3 เดือน หรือ 1 พรรษา บวชก่อนเข้าพรรษาเพียง 7 วัน 15 วัน หรือเดือนหนึ่ง ก่อนลาสิกขามักหาฤกษ์เพื่อหลังลาสิกขาไปแล้วจะได้เป็นมงคลกับตัวเอง

เมื่อกำหนดลาสิกขา มักเป็นตอนเช้ามืด อาจก่อนพระออกบิณฑบาต หรือเป็นเวลาใดตามแต่สะดวก เพราะการลาสิกขาเป็นเรื่องที่ต้องพ้นจากการเป็นภิกษุ ดังคำขอลาสิกขาว่า “ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์เป็นภิกษุต่อไปได้ สิกขังปัจจักขามิ คิหิติ มัง ธาเรถะ (หมายความว่า) ข้าพเจ้าขอลาสิกขา ขอท่านทั้งหลาย จงจำว่าข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์ ณ บัดนี้” (ว่า 3 ครั้ง)

ภิกษุผู้เป็นประธานชักสังฆาฏิออกจากบ่า ผู้ลาสิกขากราบ 3 ครั้ง เช่นเดียวกับก่อนกล่าวลาสิกขา เปลี่ยนผ้านุ่งห่มแล้วกลับที่เดิม สมาทานศีล 5 จบ กราบ 3 ครั้ง ตั้งใจฟังโอวาท ถวายไทยทาน พระสงฆ์อนุโมทนา เป็นอันเสร็จพิธี ไม่มีอะไรยุ่งยากเหมือนขออุปสมบท

เมื่อไปกราบขออนุญาตอยู่ในพรรษาต่อ แต่ขอไปอยู่พรรษา ณ วัดป่าดังที่แจ้งไว้กับพระครูพรหม ท่านเจ้าคุณพระอุปัชฌาย์ เพียงแต่รับฟัง มิได้ถามเหตุผลอื่นใด ถามถึงแต่ว่าพระที่วัดนั้นท่านอนุญาตแล้วใช่ไหม เท่านั้นเพราะก่อนหน้านี้ พระปานดำเนินการตามที่ท่านเจ้าคุณสมจิตรกับพระมหาเสริมที่เคยหารือก่อนหน้านี้แนะนำ ทั้งแจ้งด้วยวาจากับท่านพระครูพรหม ซึ่งเป็นพระที่ดูแลพระปาน

การมาแจ้งขออนุญาตกับท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสผู้เป็นอุปัชฌาย์เพื่อยืนยันการไปจำพรรษา ณ วัดป่าแห่งนั้น ทั้งที่ทราบก่อนหน้านี้แล้วว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าวัดนั้นรู้จักกับท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสดีพอสมควร

เหตุขัดข้องอื่นใดจึงไม่มี

พระปานทราบดีว่า การไปจำพรรษาที่วัดป่ามิได้สะดวกสบายเช่นกับการจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ญาติโยม โดยเฉพาะโยมแม่เดินทางมาทำบุญได้สะดวก และการไปบิณฑบาตระหว่างจำพรรษากับโยมแม่อาจไม่สะดวกบ้างเรื่องรถรา

แต่เมื่อแจ้งกับโยมส้มจีนแล้ว ท่านกลับยินดีที่พระปานจะได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าแห่งนั้น ทั้งท่านเคยไปทำบุญที่วัดป่าบางแห่ง รวมทั้งไปค้างแรมถือศีลปฏิบัติธรรมมาก่อนแล้วกับคุณน้าบ้านตรงข้าม

มีแต่เพียงพี่สาวปรารภขึ้นถึงจงจิตว่าไม่เป็นห่วงหรือ เป็นเพราะพี่นิตย์ไม่ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระปานกับจงจิตมาก่อน จึงถามตามประสาพี่และผู้หญิง

ได้รับคำถาม พระปานไม่ได้ตอบว่ากระไร เช่นเดียวกับรุ้งน้องสาว ซึ่งพอจะรู้จักจงจิตบ้าง แต่ไม่ได้สนิทสนมอะไรเกินกว่าเคยพบกันบ้างเป็นบางครั้ง

 

หลังจงจิตมาเยี่ยมเมื่อปีใหม่สองสามวัน กระทั่งพระปานเดินทางไปปฏิบัติสมาธิที่วัดเขาสุกิม เธอหายไปไม่เคยมีจดหมายมาถึงพระปานอีก แม้เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ และทั้งอยู่ระหว่างปิดภาคเรียนที่ผ่านมา

พระปานทราบด้วยความรู้สึกว่าจงจิตลงมากรุงเทพฯ แต่คงไม่ต้องการมาเยี่ยม ทั้งน่าจะเตรียมตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งควรเป็นเรื่องแต่งงานกับอุทัยที่แม้เธอมิได้บอกกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อน

พระปานจำได้ว่า เมื่อครั้งลงมาช่วงหลังปีใหม่ และจงจิตมาเยี่ยม นำของมาถวาย ยังบอกกับเธอไปว่าที่ว่าจะบวช 2 เดือน วันนี้ยังไม่กำหนดว่าสึกเมื่อไหร่ เธอยังบอกให้อยู่ไปนานๆ อยากให้บวชนานๆ ก่อนที่เธอจะลากลับยังถามว่าเมื่อไหร่จะลงมาอีก เธอยังตอบว่าคงจะปิดเทอมใหญ่ ปลายเดือนมีนาคม

พระปานจำได้ชัดเจนว่า คำถามแรกๆ เมื่อพบหน้ากัน ยังถามถึงเรื่องเมื่อไหร่จะมีข่าวดี

“โธ่… ท่านอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” เธอตัดพ้อ ยังกล่าวขอโทษเธอไปว่าไม่ได้ตั้งใจให้คิดมาก อย่าไปคิดอะไรมาก ถามเพราะอยากรู้จริงๆ ทั้งรู้ว่าเธอยังหวั่นไหวในอารมณ์ จึงก้มหน้านิ่ง ก่อนเงยขึ้นเอ่ยถามเรื่องอื่น

แม้จะอยู่ในผ้าเหลือง แต่ความรู้สึกนึกคิดยามนั้นของพระปานพอจะรู้ถึงอารมณ์นั้นได้ ทั้งยังพอนึกเดาได้ว่าทำไมจงจิตไม่พูดต่อถึงเรื่องนั้น “เรื่องข่าวดี” คือเรื่องการแต่งงาน

เมื่อพบหน้าครั้งแรก พระปานด้วยความเป็นพระ เกรงว่าความคิดอันเป็นอกุศลจะเกิดขึ้นในจิตใจซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวเอง ต่อส่วนลึกของจิตใจซึ่งเพิ่งตกตะกอนนอนก้นได้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เป็นพักเป็นคราว

ส่วนจงจิต ด้วยเกรงว่าจะหักห้ามตัวเองไม่ได้ แม้เมื่อครู่ ขณะได้ยินเสียงพระปาน และเงยหน้าขึ้นมาเห็นเต็มตา วูบแรกรู้สึกสะท้านในทรวง…

เมื่อนั่งตรงนั้น เธอกลับจะสะกดความรู้สึกของความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเธอกับเขาไว้ไม่ได้ การไม่มองหน้าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งจะไม่ทำให้ที่สะกดกลั้นไว้ล้นทะลักออกทางดวงตา

อากัปกิริยาเหล่านั้น ไม่ว่าก่อนพบ ระหว่างพบ และหลังจากนั้น มิได้ผ่านจากการรับรู้ของพระปานไปได้ ดังนั้น ระหว่างวันเวลาที่มิได้พบกันแม้เมื่อเวลาผ่านมาถึงวันนี้ พระปานจึงรู้แน่ชัดแล้วว่าจงจิตตัดขาดจากเขาแน่นอน โอกาสจะหวนกลับมาในสภาพหอมหวานอย่างเคยหมดสิ้นไป สังเกตจากการพูดคุยครั้งนั้น เมื่อเขาพูดถึงบางเรื่องอันเป็นส่วนเกี่ยวพันกับเธอและเขา จงจิตมักเปลี่ยนเรื่องทันที

ถึงวันนี้ วันที่พระปานตัดสินใจใช้เวลาจากนี้อยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน หรือ 1 พรรษา ที่วัดป่าอันเป็นสถานที่สงบ เพื่อปฏิบัติสมาธิกัมมัฏฐาน ไม่ใช่เพื่อความหลุดพ้นหรืออย่างใด เพียงแต่ต้องการเรียนรู้ถึงจิตใจตัวเองในยามที่ตกอยู่ในความหลง

หลงในความรักที่ยังไม่รู้ว่าจะตัดจากใจได้หรือไม่