จรัญ มะลูลีม : อะบูบักร์เข้ามา

จรัญ มะลูลีม

ในขณะที่พวกเขากำลังโอนเอียงอยู่ระหว่างการเชื่ออุมัรกับความหมายอันไม่มีที่สงสัยของการร้องไห้ของพวกผู้หญิงอยู่นั้น

อะบูบักร์ซึ่งได้ยินข่าวเข้าก็รีบกลับมาจากอัซซุนห์ เขามองผ่านประตูมัสญิดไปก็แลเห็นชาวมุสลิมกำลังฟังอุมัรพูดอยู่ แต่เขามิได้เชือนแชอยู่ที่นั่น แต่รีบตรงไปที่บ้านของท่านหญิงอาอิชะห์และขออนุญาตเข้าไปข้างใน

ท่านได้รับคำตอบว่าในวันนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก็ได้ เขาจึงเข้าไปและแลเห็นศาสดานอนอยู่ที่มุมหนึ่งโดยมีผ้าเป็นลายริ้วคลุมไว้ เขาจึงเข้าไปใกล้ เลิกผ้าคลุมหน้าออกและจุมพิตใบหน้านั้นพลางพูดว่า ท่านช่างงดงามเสียนี่กระไร ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม!

แล้วเขาก็เอามือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของศาสดาไว้และมองดูใบหน้านั้นอย่างใกล้ชิด

ใบหน้านั้นมิได้แสดงร่องรอยอันใดก็ตามที่ถูกความตายโจมตี เมื่อวางศีรษะของท่านลงอีก อะบูบักร์ได้พูดขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าจะไม่เสียสละอะไรเพื่อท่านหรือ? ความตายที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ให้ท่านลิ้มรสเหมือนกับที่คนอื่นๆ ก็ต้องลิ้มนั้น บัดนี้ท่านก็ได้ลิ้มรสแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่มีความตายอันใดประสบแก่ท่านอีกเลย”

เขาเอาผ้าลายริ้วนั้นคลุมหน้าศาสดาไว้ แล้วก็ตรงไปยังมัสญิดซึ่งอุมัรยังคงประกาศเสียงดังต่อไปว่าศาสดามุฮัมมัดยังไม่ตาย ฝูงคนหลีกทางให้อะบูบักร์เดินไปถึงข้างหน้า เมื่อเขาเดินมาใกล้อุมัร เขาก็พูดกับอุมัรว่า “เบาๆ หน่อย โอ้ อุมัร! เงียบๆ เถอะ!”

แต่อุมัรก็ไม่หยุดพูด ยังคงอ้างอยู่อย่างเดิมต่อไป

อะบูบักร์จึงลุกขึ้นทำสัญญาณแสดงว่าเขาต้องการพูดกับคนเหล่านั้น ไม่มีใครกล้าขัดอะบูบักร์ในที่ประชุมเช่นนั้นได้นอกจากอุมัรเพราะเขาเป็นมิตรที่ศาสดาไว้วางใจ ซึ่งศาสดามุฮัมมัดได้เลือกขึ้นมาจากผู้คนทั้งหลาย

ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะรีบทำตามการเรียกร้องของเขาทันทีโดยออกมาจากอุมัร

 

หลังจากสรรเสริญและขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าแล้ว อะบูบักร์ก็กล่าวคำปราศรัยสั้นๆ ดังต่อไปนี้

โอ้ ผู้คนทั้งหลาย ถ้าพวกท่านเคยเคารพศาสดามุฮัมมัดมาก็จงรู้เถิดว่าศาสดามุฮัมมัดนั้นสิ้นชีวิตเสียแล้ว

แต่ถ้าท่านเคยเคารพพระผู้เป็นเจ้า ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่และจักไม่มีวันตาย

แล้วเขาก็ท่องโองการในกุรอานออกมาว่า

“มุฮัมมัดนั้นเป็นเพียงร่อซูลท่านหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีร่อซูลหลายท่านมาถึงและจากไปแล้ว หากเขาตายไปหรือถูกฆ่า พวกเจ้าจะทิ้งศาสนาของเจ้าเสียดังนั้นหรือ? จงรู้เถิดว่า ผู้ใดก็ตามละทิ้งศาสนาของเขาก็จะไม่เป็นอันตรายอันใดต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าจักตอบแทนแก่ผู้ที่กตัญญูต่อพระองค์อย่างแน่นอน”

เมื่อเห็นว่าผู้คนถอนตัวจากเขาเข้าไปหาอะบูบักร์ อุมัรก็เงียบลงและสดับฟังคำพูดของอะบูบักร์ เมื่อได้ยินอะบูบักร์ท่องโองการกุรอานออกมา อุมัรก็ทรุดกายลงกับพื้น ความแน่ใจว่าศาสดาสิ้นชีพไปแล้วจริงๆ นั้นทำให้หมดกำลัง

หลังจากฟังคำพูดของอุมัรเป็นการฆ่าเวลาแล้ว ผู้คนได้มาฟังคำแถลงการณ์ของอะบูบักร์

และฟังโองการกุรอานราวกับว่าเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก

พวกเขาลืมไปว่ามีโองการเช่นนั้นอยู่

 

คําพูดตรงๆ โจ่งแจ้งของอะบูบักร์ได้ลบล้างความสงสัยและไม่แน่ใจให้หมดไปโดยสิ้นเชิง การที่อะบูบักร์ยกโองการกุรอานมาอ้างนั้นเป็นการยืนยันแก่ชาวมุสลิมว่าการที่พวกเขายึดมั่นในพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไม่มีวันตายนั้นเป็นเสียยิ่งกว่าการชดเชยต่อการที่ศาสดามุฮัมมัดจากไปเสียอีก

อุมัรพูดเกินความจริงไปหรือเปล่าเมื่อเขายืนยันแก่ตนเองว่า ศาสดามุฮัมมัดมิได้สิ้นชีวิต และเมื่อเขาพยายามจะทำให้ผู้คนเชื่อเช่นเดียวกัน?

คำตอบจะต้องเป็นไปในทางปฏิเสธ ในแนวเดียวกันนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้บอกเราว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นในตอนเช้าต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมันจะระเบิดออกแล้วก็หายไป

ใครคนใดในหมู่พวกเราบ้างเล่าจะยอมรับคำอ้างเช่นนั้นโดยไม่มีความสงสัยถึงความถูกต้องและมีความจริงของข้ออ้างนั้นเลย?

ก็พวกเขาทุกคนไม่ได้ถามตัวเองหรอกหรือว่า “ดวงอาทิตย์ซึ่งทุกสิ่งในโลกนี้ต้องอาศัยแสงสว่างและความร้อนของมันนั้นจะระเบิด และหายไปได้อย่างไรกัน? มันจะระเบิดและหายไปแต่โลกยังคงมีอยู่หลังจากนั้นแม้เพียงวันเดียวได้อย่างไรกัน?”

แล้วก็รัศมีของศาสดามุฮัมมัดนั้นสดใสรุ่งโรจน์น้อยกว่าแสงของดวงอาทิตย์หรือและความอบอุ่นและพลังอำนาจของท่านก็เข้มแข็งน้อยกว่าของดวงอาทิตย์หรือไฉน?

ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งดีๆ มากมาย แต่ศาสดามุฮัมมัดนั้นมิได้เป็นแหล่งของความดีที่มากมายเท่าเทียมกันดอกหรือ?

ดวงอาทิตย์มีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง แต่ดวงวิญญาณของศาสดามุฮัมมัดเล่ามิได้มีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างเท่าเทียมกับดวงอาทิตย์หรือไฉน?

ความทรงจำอันมีเกียรติถึงท่านมิได้มีอยู่ทั่วไปในจักรวาลด้วยความงดงามและศักดิ์ศรีดอกหรือ?

ไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่อุมัรจะมั่นใจว่าศาสดามุฮัมมัดนั้นไม่สามารถจะตายได้ และที่จริงแล้ว ในความหมายอย่างหนึ่งท่านก็ไม่ได้ตายไปและจะไม่มีวันตายด้วย

 

เมื่อได้เห็นท่านในตอนเช้าวันที่ท่านมาที่มัสญิด และเมื่อคิดเช่นเดียวกับชาวมุสลิมคนอื่นๆ ว่าศาสดาได้หายป่วยแล้ว อุสามะฮ์ อิบนุ ชัยค์ ยังกลับไปยังอัลญุรฟ์ พร้อมด้วยผู้ร่วมงานทั้งหลายของเขาซึ่งเดินทางมากับเขาที่นครมะดีนะฮ์เพื่อหาข่าวที่แน่นอน

อุสามะฮ์ได้ส่งกองทัพให้เตรียมตัวยกไปยังอัชชาม แต่ก่อนที่กองทัพจะเคลื่อนออกไปก็ได้ข่าวอสัญกรรมของศาสดาอุสามะฮ์จึงสั่งให้กองทัพกลับมาที่นครมะดีนะฮ์

เขาเอาธงแม่ทัพของเขาปักไว้ที่ประตูบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์ และตัดสินใจว่าจะรออยู่ที่นั่นจนกระทั่งชาวมุสลิมหายจากความตระหนกตกใจ

อันที่จริงนั้นพวกมุสลิมกำลังสงสัยว่าจะทำอย่างไรดี หลังจากได้ฟังคำพูดของอะบูบักร์และแน่ใจว่าศาสดามุฮัมมัดหาชีวิตไม่แล้ว พวกเขาก็กระจายกันไป

พวกอัลอันศอรฺบางคนได้ไปรวมกันอยู่รอบๆ สะอฺด์ อิบนุ อุบาดะฮ์ ในลานบ้านของพวกบะนู ซาอิดะฮ์ ส่วนอะลี อิบนุ อะบีฏอลิบ อัชชุบัยร์ อิบนุล เอาวาม และฏ็อลฮะฮ์ อิบนุ อุบัยดุลลอฮ์ก็ไปรวมกันอยู่ในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์

และพวกมุฮาญิรูน กับอุชัยค์ อิบนุ หุดัยร์ และบะนู อับดุลอัซฮัลไปรวมกันอยู่รอบๆ อะบูบักร์