เกษียร เตชะพีระ : เจ๊กสยามหันขวาหาจีน (3)

เกษียร เตชะพีระ
สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ @ลูกจีนรักชาติ หน้าทำเนียบรัฐบาล สิงหาคม พ.ศ.2551 - สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. @ไชน่าทาวน์ เยาวราช กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557

ถัดจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่ลุกลามไปสู่เอเชียตะวันออกใน พ.ศ.2540 ความพลิกผันปรวนแปรประการที่สองที่ทำให้เจ๊กสยามในหมู่ชนชั้นนำและคนชั้นกลางพากันหันขวาหาจีนได้แก่การขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลทักษิณกับพรรคพวกนับแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา

การที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กับพรรคพวกชนะเลือกตั้งต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า (พ.ศ.2544, 2548, 2549, 2550, 2554) และทะยานขึ้นกุมอำนาจรัฐบาลในนามระบอบประชาธิปไตยเสียงข้างมากที่ค่อนไปทางอำนาจนิยมในลักษณะที่ดูเหมือนมิอาจต้านทานได้ (รัฐบาลทักษิณ 1, รัฐบาลทักษิณ 2, รัฐบาลสมัคร, รัฐบาลสมชาย, รัฐบาลยิ่งลักษณ์)

พร้อมทั้งนำนวัตกรรมใหม่ด้านแนวนโยบายเศรษฐกิจการเมืองเข้ามาใช้ ที่สำคัญได้แก่ :-

– อำนาจนำของกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มาจากการเลือกตั้ง

– แนวทางเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่

– นโยบายประชานิยมเพื่อรากหญ้า

ซึ่งเป็นทางเลือกที่แตกต่างไปจากองค์ประกอบหลักด้านแนวนโยบายในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่เดิม อันได้แก่ พระราชอำนาจนำ, หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายการคลังแบบอนุรักษนิยมของเทคโนแครต

เหล่านี้ได้ก่อผลลัพธ์เชิงปฏิกิริยาโต้กลับ ทำให้รอบทศวรรษที่ผ่านมาการเมืองไทยตกอยู่ในสภาพวิกฤตต่อเนื่องเรื้อรัง อันเกิดจากชนชั้นนำเดิมซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งหลายหรือที่เรียกกันว่า “รัฐพันลึก” และแนวร่วมพยายามต่อสู้ดิ้นรนด้วยวิธีการต่างๆ ต่อกันเป็นชุด

ไม่ว่าจะด้วยการชุมนุมประท้วง เดินขบวนแสดงพลัง ยึดถนน สถานที่ราชการ ทำเนียบ ย่านธุรกิจ, ทำให้บ้านเมืองเป็นอัมพาตบริหารปกครองไม่ได้, เกิดสภาพอนาธิปไตยทางการเมือง, เสมือนรัฐล้มเหลว, ตุลาการธิปไตย, รัฐประหาร และวิศวกรรมรัฐธรรมนูญ

ในอันที่จะผลักดันการเมืองการปกครองไทยให้เปลี่ยนผ่านกลับไปสู่ระบอบไม่ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืน

กล่าวคือ เป็นระบบการเมืองการปกครองที่มีการเลือกตั้งทั่วไปในระดับชาติ ทว่า อยู่ภายใต้การครอบงำกำกับของเหล่าสถาบันเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เช่น ข้าราชการประจำ กองทัพ ตุลาการ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ กล่าวคือ เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อประชาชน โดยคนดีมีสติปัญญาส่วนน้อยที่คัดสรรแล้ว

 

ในท่ามกลางฝุ่นตลบฟุ้งของการเคลื่อนไหวมวลชนราชาชาตินิยมต่อต้านระบบทักษิณนี่เอง ที่ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล (ตั๊บ แซ่ลิ้ม ???) แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อดีตเจ้าสัวหลายพันล้านด้านสื่อมวลชน ผู้พลอยมีอันล้มละลายไปในคราววิกฤตการเงิน พ.ศ.2540 อีกทั้งเคยเป็นพันธมิตรของทักษิณ แต่หันกลับมาเป็นปฏิปักษ์สุดตัวนับแต่ปลายปี พ.ศ.2548 เป็นต้นมา…

สนธิได้ฉวยใช้โครงสร้างโอกาสทางการเมืองวัฒนธรรมที่มีมาแต่เดิมในสังคมไทยประการหนึ่ง นั่นคือความเป็นเจ๊กหรือลูกจีน โดยหยิบยกอ้างอิงรณรงค์ปลุกเร้าเอกลักษณ์ “ลูกจีนรักชาติ” ขึ้นมาอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งแข็งขันในการชุมนุมปิดล้อมทำเนียบเพื่อโค่นรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ผู้ถูกหาว่าเป็นนอมินีของทักษิณ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2551

โดยเรียกร้องให้ลูกจีนผู้รักชาติเยี่ยงตัวเขาเองทั้งหลาย โดยเฉพาะจากย่านไชน่าทาวน์เยาวราช ให้มาช่วยกันต่อสู้เพื่อโค่นรัฐบาลสมัคร-ระบบทักษิณ ภายใต้คำขวัญ ?????? (ไท่หัวอี้ไอ้ไท่กั๋ว หรือลูกจีนในเมืองไทยรักประเทศไทย) ดังปรากฏในรายงานข่าวของ MGR Online ว่า :

“วันนี้ (5 ส.ค. 2551) เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีโดยเริ่มถามผู้ร่วมชุมนุมว่าลูกจีนอยู่ที่ไหน และลูกไทยอยู่ที่ไหน ลูกแขกลูกญวนอยู่ที่ไหน จากนั้นได้เล่าย้อนอดีตถึงประวัติของครอบครัวของตนเองตั้งแต่สมัยที่ก๋งอพยพมาจากประเทศจีน มาตั้งรกรากในจังหวัดสุโขทัยและแต่งงานกับย่าซึ่งเป็นคนไทย และมีการเปลี่ยนนามสกุลเป็นลิ้มทองกุล ซึ่งมีการคงความเป็นแซ่ลิ้มเอาไว้

“นายสนธิ ยังเล่าให้ฟังถึงความภาคภูมิใจในความเป็นเชื้อจีน แต่ทุกคนก็เป็นคนไทย อยู่ในเมืองไทย และยกตัวอย่างสมัยเรียนหนังสือที่อัชสัมชัญศรีราชาหรือสมัยเรียนที่สหรัฐ ว่ามีเพื่อนต่างเชื้อชาติมากมาย ทั้งแขก จีน ไทย ฝรั่ง แต่ทุกคนก็เป็นคนไทย

“นายสนธิ กล่าวว่า ทำไมต้องเป็นคนจีนรักชาติ เพราะตนเองขอเป็นตัวแทนของคนธรรมดาที่ทำมาค้าขายโดยสุจริต และเป็นตัวแทนคนจีนมาสู้กับนักการเมืองที่เป็นลูกจีนสัตว์นรกในรัฐบาลนี้ ซึ่งเหมือนกับลูกแขก ลูกไทยก็มาช่วยกัน

“คุณสมัครคุณมาพูดให้แบ่งแยกทำไม เพราะถ้าลูกจีนรักชาติ อย่างนั้นลูกพระยามันก็ขายชาติ และไม่ว่าจะเป็นลูกอะไรก็ตามขอให้รักชาติก็พอแล้ว ดังนั้น เลิกพูดได้แล้วว่าพ่อผมเป็นพระยา มันจะมีประโยชน์อะไร” นายสนธิระบุ และว่า เวลานี้ลูกจีนที่โบ๊เบ๊กำลังทำเสื้อลูกพระยาขายชาติออกมาแจกแล้ว

“ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเห็นความถ่อย พูดได้ไงว่าใส่เสื้อลูกจีนแล้วทำให้แตกแยก คุณสมัคร ภาษาแต้จิ๋วบอกว่า เฉาฉุ่ย” นายสนธิระบุ และว่า คนที่มาร่วมชุมนุมที่นี่ไม่ว่าฟ้าถล่มทลายเขาก็จะไม่ถอยเพราะว่ายังมีนายสมัครเป็นนายกฯ อยู่ พร้อมกับย้ำว่า ลูกจีน ลูกไทย ลูกแขก หรือลูกไหนๆ รักชาติดีกว่าลูกพระยาขายชาติ

“จากนั้น นายสนธิได้ร้องเพลงจีนที่เป็นภาษาจีนกลางที่มีความหมายว่าทำไมต้องร้องไห้ให้กับประเทศไทย เพราะบ้านเมืองซวยเพราะมีนายกฯ ชื่อสมัคร และย้ำว่าคนไทยมีหลายเชื้อชาติ แต่รักชาติมากกว่านายสมัคร และเวลานี้ไม่รู้จะทำอะไรแล้วต้องมาหาเรื่องแม้กระทั่งเสื้อยืดคอกลมสีขาว”

(http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000092391)

 

คาถาเดียวกันที่มีส่วนดลบันดาลให้คุณสนธิและพันธมิตรฯ โค่นรัฐบาลสมัครและสมชายลงสำเร็จ ได้ถูกปลุกเสกขึ้นมาฉวยใช้อย่างได้ผลอีกครั้งในการเคลื่อนไหวโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ของ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. เมื่อเขายกพวกเดินขบวนเข้าไปรณรงค์ชักชวนให้ไม่ไปเลือกตั้ง หาแนวร่วมและเรี่ยไรระดมเงินบริจาคจากลูกจีนย่านไชน่าทาวน์เยาวราชในเทศกาลตรุษจีน เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 (https://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU1USXlPRGd4TVE9PQ==)

ดังที่ทราบกันอยู่ว่าการเคลื่อนไหวของคุณสนธิแห่งพันธมิตรฯ และคุณสุเทพแห่ง กปปส.ได้นำไปสู่การโค่นรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ด้วยรัฐประหารของ คปค. ในปี 2549 และรัฐประหารของ คสช. ในปี 2557 ในที่สุด

ปรากฏว่าขณะที่โลกตะวันตกโดยทั่วไปและโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาพากันประณามรัฐประหารทั้งสองครั้ง อีกทั้งระงับความช่วยเหลือทางทหารและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ให้กับไทยเป็นการชั่วคราวนั้น

ประเทศจีนกลับแสดงจุดยืนตรงข้ามอย่างคงเส้นคงวา โดยแถลงว่ารัฐประหารทั้งสองครั้งเป็นกิจการภายในประเทศของไทยเองซึ่งจีนจะไม่เข้าแทรกแซง หลังจากนั้นก็แสดงท่าทีมิตรไมตรีอย่างอบอุ่นกับรัฐบาลทหารที่ขึ้นกุมอำนาจโดยเสนอให้ความช่วยเหลือทางทหารและร่วมมือทางเศรษฐกิจสืบต่อไปอย่างแข็งขัน

(ต่อสัปดาห์หน้า)