ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | คนแคระบนบ่ายักษ์ |
เผยแพร่ |
เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงรับบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ภายใต้ระบบการปกครองและสภาพแวดล้อมทางการเมืองใหม่
นั่นคือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพระมหากษัตริย์จะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ตลอดจนสภาพแวดล้อมอันเกิดจากปัญหาสำคัญคือ อำนาจทางการเมืองยังกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มผู้นำคณะราษฎรบางคนและกลุ่มข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการฝ่ายทหาร
กลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดประเด็นสำคัญที่เกี่ยวโยงกัน 3 ประการ ดังนี้
ประเด็นแรก ด้วยผลของเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันและปรารถนาจะให้เกิดขึ้น ทำให้ภารกิจในการสร้างและวางบทบาท รวมทั้งการฟื้นฟูสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องตกอยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แทนที่จะเป็นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ผู้ทรงเป็นพระเชษฐาธิราช
ภายหลังจากที่รัฐสภามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ถวายสิริราชสมบัติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงรับบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ภายใต้ระบบการปกครองและสภาพแวดล้อมทางการเมืองใหม่
นั่นคือ ระบบการเมืองภายหลังการล้มล้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนย้ายการถือครองอำนาจรัฐจากพระมหากษัตริย์ มาอยู่ในมือของกลุ่มผู้นำคณะราษฎรบางคน ที่อยู่ในแวดวงข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน
ระบบการเมืองใหม่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
แต่ในระยะเปลี่ยนผ่านของระบบการเมืองการปกครองไทย ที่คณะผู้ก่อการมุ่งหวังจะสร้างให้เป็นประชาธิปไตยนี้ เป็นระยะของวิกฤตภาวะทางการเมือง ซึ่งเป็นสภาวะที่ “สิ่งเก่ากำลังผุกร่อนสลายลง และสิ่งใหม่ยังไม่อาจเกิดขึ้นได้ ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านนี้ มีอาการอันวิปริตแปรปรวนต่างๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด”
ในบริบทของการเมืองไทยหลัง พ.ศ.2475 ความผุกร่อนเสื่อมคลายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นข้อเท็จจริงที่แม้แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เองก็ทรงยอมรับว่าได้เกิดขึ้นอยู่ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน สถาบันทางการเมือง และการจัดสรรอำนาจในระบบการเมืองใหม่กลับไม่ลงตัว
รวมทั้งแหล่งที่มาของความชอบธรรมของระบบการเมืองใหม่ ซึ่งวางอยู่บนหลักการประชาธิปไตยและการมีรัฐธรรมนูญ ยังขาดพลังและเวลาในการตกผลึกในสังคมที่นานเพียงพอ สำหรับการเป็นรากฐานอันเข้มแข็งและหนักแน่นในการรองรับระบบการเมืองใหม่
ขณะเดียวกัน สภาพการเมืองของไทยในระยะ 25 ปีภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 ก็คือ ความขัดแย้ง แตกร้าว และทำลายล้างกันระหว่างผู้นำทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอยู่บ่อยครั้ง
ตลอดจนการดำเนินการเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของกลุ่ม มากกว่าการคำนึงถึงหลักการตามกติกาที่รัฐธรรมนูญวางไว้
และความพยายามของผู้นำการเมืองในกลุ่มคณะราษฎรบางคน ในการจำกัดบทบาทและอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหลือน้อยที่สุด
เหตุเหล่านี้ทำให้ระยะเปลี่ยนผ่านของการเมืองไทยภายหลัง 2475 เต็มไปด้วยความไร้เสถียรภาพอันเกิดจากการแข่งขันช่วงชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นนำ
ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างสถาบันทางการเมืองต่างๆ รวมทั้งบทบาทหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบบการเมือง มีความคลุมเครือ ขาดความแน่นอนชัดเจน
การต่อสู้ทำลายล้างและการเกาะตัวเป็นพันธมิตรทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่างๆ นี้ ในที่สุดจะก่อรูปเป็นโครงสร้างทางการเมืองแบบเผด็จการอำนาจนิยมภายใต้ระบบที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สถาปนาขึ้นภายหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.2500
อันเป็นโครงสร้างที่จะกลายมาเป็นทั้งโอกาสและข้อจำกัด ในการฟื้นฟูสถานภาพและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางการเมืองการปกครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประเด็นที่สอง แม้ระบบการเมืองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะมีแบบอย่างของต่างประเทศ เช่น อังกฤษ เป็นต้นแบบให้ศึกษาได้ รวมทั้งเป็นแนวเทียบเคียงอย่างกว้างๆ ในการกำหนดกรอบเกี่ยวกับลักษณะพื้นฐานที่เป็นองค์ประกอบของระบบดังกล่าว
เช่น การกำหนดขอบเขตเกี่ยวกับพระราชสิทธิ์และพระราชอำนาจในทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
แต่เนื่องจากสภาพการณ์และระดับการพัฒนาทางการเมือง รวมทั้งโจทย์ปัญหาและปัจจัยแวดล้อมของสังคมการเมืองไทย มีความแตกต่างอย่างมากกับประเทศตะวันตก
ต้นแบบดังกล่าวจึงเป็นได้อย่างมากก็เพียงแม่แบบ แต่ไม่อาจจะนำมาลอกเลียนหรือนำมาใช้อย่างสำเร็จรูปได้
สถานะและบทบาทอันเหมาะสมของสถาบันพระมหากษัตริย์สำหรับสังคมหนึ่งๆ จะพึงเป็นเช่นไร ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เงื่อนไขภายในสังคมนั้นจะเป็นปัจจัยพื้นฐานในการกำหนดประเพณีการปกครองดังกล่าว มากกว่าจะเป็นผลของการ “นำเข้า” แม่แบบจากต่างประเทศโดยไม่มีการปรับเปลี่ยน
เพราะไม่ว่าแม่แบบนั้นจะน่าพึงปรารถนาสักเพียงใด แม่แบบนั้นก็เป็นผลของพัฒนาการภายในสังคมของเขาเอง
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงรับภารกิจเป็นผู้ทรงบุกเบิกเข้าไปในดินแดนที่ยังไม่มีผู้ใดสำรวจแผ้วถางนำทางไว้ให้
ขณะที่ประสบการณ์ของประเทศอื่น แม้จะเป็นตัวอย่างพอให้เทียบเคียง แต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นแผนที่ได้โดยตรง
แนวทางการ “ทำราชการ” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในสถานะพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทย มีความแตกต่างจากพระมหากษัตริย์ของต่างประเทศพระองค์อื่นอย่างเด่นชัด
ในเรื่องการทรงทำหน้าที่ที่มิได้จำกัดอยู่แต่เพียงการเป็นประมุขของรัฐ และพิธีการตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น
แต่ได้ทรงขยายบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสนับสนุนการพัฒนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าเหมาะสมต่อสภาพของประเทศ ซึ่งกำลังถูกผลักให้เข้าสู่สภาวะสมัยใหม่ตามกระแสโลก
และในด้านที่เป็นการส่งเสริมเพิ่มพูนพระบารมีตามคติธรรมโบราณของไทยเกี่ยวกับผู้ปกครองที่ดี เพื่อดำเนินและดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับเหล่าพสกนิกรทั่วทุกระดับและในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ
การปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ซึ่งขยายออกไปจากหน้าที่ที่มีอยู่ตามแบบแผนทั่วไปของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยเหล่านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำด้วยพระราชหฤทัยตั้งมั่น ไม่ย่อท้อ
นำให้พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายทรงเจริญรอยตาม
การตรากตรำพระวรกายในการทรงงานเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องยาวนานมาตลอดรัชสมัย ทำให้สถานะและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ได้รับการฟื้นฟูขึ้นจนกลายเป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญในระบบการปกครองใหม่
และทำให้พระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระสถานะอยู่เหนือการเมืองและภายใต้รัฐธรรมนูญ กลับมามีบทบาทที่สำคัญยิ่งในทางการเมือง
ซึ่งมิใช่จำกัดอยู่แต่เพียงการทำหน้าที่ในฐานะประมุขของชาติเท่านั้น
แต่ความสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังอยู่ที่บทบาทในระบบการเมือง ในฐานะองค์อธิปัตย์ที่เป็นตัวแทนของเจตจำนงทั่วไปของคนในชาติผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ในยามที่บ้านเมืองประสบวิกฤตภาวะอีกด้วย
เรื่องนี้โยงไปสู่ประเด็นที่สาม
เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ใจกลางของการเมืองไทย
นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
นั่นคือ ปมปัญหาระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับผู้นำคณะราษฎรภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475