รายงานพิเศษ / จับสัญญาณเลือกตั้ง จับท่าที ‘บิ๊กตู่’ จับตา ผบ.เหล่าทัพ ยุคเข้ม ดุ เฮี้ยบ จับคู่ ‘บิ๊กจ้อ-บิ๊กนัต’ กับ ‘บิ๊กยาว-บิ๊กหมู’ ชิงชัย

รายงานพิเศษ

 

จับสัญญาณเลือกตั้ง

จับท่าที ‘บิ๊กตู่’

จับตา ผบ.เหล่าทัพ ยุคเข้ม ดุ เฮี้ยบ

จับคู่ ‘บิ๊กจ้อ-บิ๊กนัต’ กับ ‘บิ๊กยาว-บิ๊กหมู’ ชิงชัย

 

แม้จะเกิดความไม่มั่นใจกันว่า จะมีเลื่อนการเลือกตั้ง จากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ได้แถลงไทม์ไลน์อย่างเป็นทางการก่อนหน้านี้ออกไป

แต่ทว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. สั่งการให้นายวิษณุแถลงออกมาเช่นนั้น ก็ย่อมต้องมีสาเหตุ มีเหตุผล หรือมีแผนบางประการ

ทั้งการหวังผลต่อการเดินทางไปประชุมเวทีสำคัญต่างๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่ฝรั่งเศส สิงคโปร์ และปาปัวนิวกินี 10-18 พฤศจิกายน 2561 อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ก็สำทับกับผู้นำประเทศต่างๆ ไปด้วยว่า จะเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 จากที่เคยบอกว่า อาจจะเป็นอย่างเร็วและอย่างช้าคือ พฤษภาคม 2562

อีกทั้งอาจเป็นเพราะมี “สัญญาณ” บางอย่างออกมาแล้วว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามโรดแม็ป ไม่ต้องไปห่วงกังวลเรื่องอื่นใด แต่ให้จัดการเลือกตั้งให้เรียบร้อย นำไปสู่การมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นำประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย

จึงทำให้ไทม์ไลน์ของนายวิษณุไปตบท้ายที่ ภายใน 8 พฤษภาคม 2562 จะเป็นหมายกำหนดการเสด็จฯ เปิดสภา (ภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง) โดยมีทั้ง ส.ส. และ ส.ว.ใหม่ แล้ว จากนั้นเป็นขั้นตอนของการเลือกประธานสภา และประธานวุฒิสภา และการเลือกนายกรัฐมนตรี และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และให้คณะรัฐมนตรีใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ โดยในวันนั้นจะถือว่า รัฐบาลและ คสช. สิ้นสุดลง

โดยมีรายงานว่า ในห้วงเดือนพฤษภาคม 2562 จะมีพิธีสำคัญของประเทศเกิดขึ้น ที่จะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองทุกอย่างเรียบร้อย ลงตัวในเวลาที่กำหนด

 

ยกเว้นเสียแต่ว่า อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แบบที่บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ระบุว่า ปัจจุบันทันด่วน อันนั้นเราไม่รู้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ข้างหน้า

นั่นย่อมทำให้เกิดความกังขาว่า รัฐบาล คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ และมี พล.อ.ประวิตรคุมความมั่นคง คุมทหาร และตำรวจ “เอาไม่อยู่” จริงหรือไม่ หรือใครเป็นผู้ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น

ความไม่มั่นใจในบางเรื่อง และความหวาดหวั่นว่า คสช.จะ “ตุกติก” ในการจัดเลือกตั้ง จึงทำให้บรรดาฝ่ายต่อต้าน คสช.และพรรคการเมืองที่ไม่เอาเผด็จการทหาร ไม่มั่นใจว่าจะมีเลือกตั้งนั่นเอง

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะแสดงความชัดเจนในการที่จะเล่นการเมือง เหลือแค่ยังไม่ได้ประกาศว่าจะเข้าร่วมกับพรรคการเมืองใด หรือจะให้พรรคใดเสนอชื่อเป็นนายกฯ โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกเรียกว่าเป็นพรรคทหาร พรรค คสช.

แต่คาดกันว่า หลังมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2561 พล.อ.ประยุทธ์ก็จะประกาศอนาคตทางการเมืองที่ชัดเจนกว่าเดิม ว่าจะเข้าพรรคใด หรือว่าจะเป็น “คนนอก” ไม่เข้าสังกัดพรรคใดเลย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะหาเสียงไม่ได้ แต่ก็สามารถลงพื้นที่ตามปกติได้ในฐานะนายกรัฐมนตรี

ในห้วงนั้น 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. จะลาออกเพื่อไปหาเสียงและทำงานทางการเมืองได้เต็มที่

แน่นอนว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ก็จะถูกโจมตี หากนำไปเปรียบเทียบกับ 4 รัฐมนตรีที่ลาออก

จึงทำให้เกิดข่าวลือสะพัดว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจจะประกาศยุติการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แล้วมอบให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ รักษาการ ในช่วง 2 เดือนเศษๆ ก่อนการเลือกตั้ง

อีกทั้งเป็นการสานฝันของ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี ที่ดูแลสนับสนุนน้องๆ มาตลอด ที่อาจจะเคยแอบหวังที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้ง หลังจากที่มีหมอดูหลายสำนักทำนายทายทักมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แต่เหล่านี้เป็นแค่กระแสข่าว ที่รอการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นว่าจะกลายเป็นเรื่องจริง หรือแค่ข่าวลือ

 

ทั้งนี้เพราะ พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่มั่นใจว่า หากให้ พล.อ.ประวิตรรักษาการนายกฯ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ และเชื่อกันว่า คนรอบข้างนายกฯ ก็ไม่มีใครหนุนแนวทางนี้ และอาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เลือกที่จะไม่สังกัดพรรคก็เป็นได้ และทำหน้าที่นายกฯ และหัวหน้า คสช.จนวันสุดท้าย

แต่ในสถานการณ์ที่ คสช.เองก็ไม่มั่นใจในผลการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวโพลพรรคเพื่อไทยและพรรคสาขา อาจได้ที่นั่ง ส.ส.มากกว่า 290

ที่น่าจับตาคือ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้า คสช. กำหนดให้มีการประชุม คสช.ทุกวันอังคาร ก่อนการประชุม ครม. ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา

แม้แต่ในห้วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่ ก็ยังให้ พล.อ.ประวิตร ที่รักษาราชการแทนนายกฯ และเป็นรองหัวหน้า คสช. ประชุม คสช.แทน เพื่อประเมินสถานการณ์และการดูแลความสงบเรียบร้อย

ส่งผลให้ทั้งบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด พี่ใหญ่กองทัพ และโดยเฉพาะบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ต้องเน้นย้ำในการประชุมสั่งการทุกครั้ง และในฐานะที่เป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยด้วย

โดยเฉพาะการให้ทั้ง กอ.รมน. และ กกล.รส. ชี้แจงไทม์ไลน์ ขั้นตอนที่นำไปสู่การเลือกตั้ง และทำให้ประชาชนมั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่

และสยบข่าวลือที่ว่า คสช.จะไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น

(จากซ้าย) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์, พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ, พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์

ท่ามกลางการถูกจับตามองจากภายนอก แต่ภายในกองทัพบกแล้ว พล.อ.อภิรัชต์ก็กำลังเร่งจัดระเบียบใหม่ ไม่ใช่แค่การทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความเนี้ยบให้ทหารทั้งกองทัพ

โดยเฉพาะการสร้าง “ทหารต้นแบบในอนาคต” โดยให้หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) ทำการฝึกครูฝึกทหารใหม่ เพื่อที่จะนำไปฝึกทหารใหม่ในรูปแบบเดียวกัน

ที่ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ระบุว่า ต่อไปพลทหารจะมีลักษณะท่าทาง มีความสง่างาม เช่นเดียวกับ ทม.รอ.

ไม่แค่นั้น เห็นเป็นนายทหารมาดเนี้ยบ เป๊ะ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่ใช่แค่เรื่องระเบียบวินัย ลักษณะท่าทางเท่านั้น แต่เป็นที่ร่ำลือในหมู่กำลังพลในกองบัญชาการกองทัพบก ถึงความเนี้ยบและเฮี้ยบของ พล.อ.อภิรัชต์

เพราะทุกๆ เช้าตรู่ พล.อ.อภิรัชต์จะเดินดุ่มๆ มาคนเดียว หรือบางวันก็มีนายทหารคนสนิท (ทส.) เดินตามห่างๆ สำรวจทุกอาคารใน บก.ทบ.ถนนราชดำเนิน แบบที่เรียกว่า ต้องการรู้เห็น และรู้จัก บก.ทบ. สถานที่ทำงาน หรือบ้านอีกหลังหนึ่งให้ทุกมุม

เดินไปสำรวจแม้กระทั่งหลังตึก ที่จอดรถ ครัว ร้านค้า เพื่อตรวจดูความสะอาด ความเรียบร้อย เพราะมักหลบอยู่ตามซอกมุมตึก

โดยเฉพาะรถที่จอดค้างคืน ก็ต้องตรวจสอบว่า รถใคร ภารกิจอะไร เพื่อความปลอดภัย

จนทำให้นายทหารในกองทัพบกตื่นตัว ดูแลสถานที่ทำงานให้สะอาด เรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดี ผบ.ทบ.จะเดินมาตรวจวันไหน

“เราต้องดูแล ทำให้บ้านเราสะอาดเรียบร้อยเสียก่อนที่เราจะไปว่าคนอื่นเขาได้” พล.อ.อภิรัชต์ให้เหตุผล

พร้อมๆ กับการประกาศว่า หากมีทหารไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรืออาวุธสงคราม สิ่งผิดกฎหมาย โทษคือปลดออกสถานเดียว

 

เรียกได้ว่า พล.อ.อภิรัชต์ก็ปกครองบังคับบัญชาแบบให้ลูกน้องยำเกรง ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดเด็ดขาด และลงโทษอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหากหน่วยใดเกิดการทำร้ายพลทหารจนเสียชีวิต หรือบาดเจ็บ ที่ทำให้นายทหารระดับผู้บังคับหน่วยลงมาควบคุมการฝึก และการดูแลทหารเกณฑ์เองอย่างใกล้ชิด

ในเรื่องความน่ายำเกรง และการเอาจริงจังของ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ชุดนี้ ปรากฏให้เห็นทั้งบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม น้องรัก บิ๊กป้อม และเพื่อน ตท.20 ของบิ๊กแดง ที่แม้จะไม่ได้เป็นหน่วยรบ แต่ก็ลุกขึ้นมาปลุกจิตวิญญาณของทหารในกลาโหม

ด้วยการให้ทหารสารวัตรไปฝึกหลักสูตรทหารทรหดของทหารราบ ที่ พล.ร.9 กาญจนบุรี ที่ พล.อ.ณัฐเคยเป็น ผบ.พล.ร.9 มาก่อน เป็นเวลา 1 เดือน

เพราะต้องการให้คนที่เป็นทหาร ไม่ว่าจะอยู่หน่วยไหน จะต้องทำการรบได้เหมือนทหารราบ

หรือแม้แต่บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. ที่ก็มีความน่าเกรงขาม จนทำให้นายทหารใน ทร.ยำเกรงในความเด็ดขาด เข้มงวด และการพูดจริงทำจริง และกล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ

ทั้งการสั่งยุบ “ศูนย์ฝึกทหารใหม่” ที่สัตหีบ ชลบุรี แล้วให้แต่ละหน่วยฝึกทหารใหม่ หรือทหารเกณฑ์กันเอง โดยไม่ต้องมีศูนย์ฝึกทหารใหม่มาทำการฝึกโดยรวมให้อีกแล้ว

หลังจากที่ พล.ร.อ.ลือชัยมองว่า มีปัญหาเรื่องผลประโยชน์

 

แต่ที่ฮือฮาคือ การจัดการแข่งขันไตรกีฬา นาวีเฉลิมพระเกียรติ ที่กำหนดให้ ผบ.หน่วย ทั้งผู้พัน ผู้การเรือ ต้องร่วมการแข่งขันด้วย ทั้ง 5 สนามในรอบปี ที่ พล.ร.อ.ลือชัยระบุว่า เป็นประวัติศาสตร์ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการจัดไตรกีฬา 5 สนามในรอบปี เพราะบรรดา Iron Man รู้กันดีว่า ไม่เคยมีใครจัดไตรกีฬา The Series แบบนี้ ต่อเนื่องกัน 5 สนามมาก่อนในโลก

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการทำให้กำลังพลทหารเรือ โดยเฉพาะ ผบ.หน่วย แข็งแรง มีความพร้อมสำหรับปฏิบัติทุกภารกิจและพร้อมรับทุกสถานการณ์ ปลุกความเป็น Navy Warrior หรือนักรบชาวเรือ ขึ้นมาในตัวทหารเรือทุกคน

อันสอดคล้องกับแผนที่จะตั้งกรมรบพิเศษที่ 2 ของหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) หรือหน่วยซีล เพิ่มจากเดิมที่มีแค่กรมรบพิเศษที่ 1 กรมเดียวเท่านั้น

ที่สำคัญคือ ไม่ใช่แค่สั่ง แต่ พล.ร.อ.ลือชัยจะลงแข่งขันไตรกีฬา ที่มีทั้งว่ายน้ำ ขี่จักรยาน และวิ่ง ด้วยตนเองทั้ง 5 สนาม

“ผมก็ฝึกซ้อมทุกวัน มีความพร้อม ฟิตตลอดเวลา ในเมื่อเราพูดแล้วเราต้องทำเองด้วย” พล.ร.อ.ลือชัยกล่าว อันสะท้อนความเป็นผู้นำ

ท่ามกลางความห่วงใยของคนใกล้ชิด เพราะแม้จะรู้ว่า พล.ร.อ.ลือชัยออกกำลังกายตลอด และเป็นนักวิ่งมาราธอนอยู่แล้วก็ตาม แต่ทว่า อายุย่าง 59 แล้ว แต่ พล.ร.อ.ลือชัยนั้นมั่นใจในตัวเองอย่างมาก

ไม่ว่าจะแบบระยะทางไกล Hull Iron Man ว่ายน้ำ 3.8 ก.ม. ปั่นจักรยาน 180 ก.ม. วิ่ง 42 ก.ม. และระยะโอลิมปิก ว่ายน้ำ 1.5 ก.ม. ปั่นจักรยาน 40 ก.ม. วิ่ง 1 ก.ม. และระยะสั้น ว่ายน้ำ 0.75 ก.ม. ปั่นจักรยาน 20 ก.ม. วิ่ง 5 ก.ม. และระยะทวิกีฬา วิ่ง 5 ก.ม. ปั่นจักรยาน 40 ก.ม. และวิ่ง 10 ก.ม.

ท่ามกลางการจับตามองว่า 16 ธันวาคม 2561 ที่สัตหีบ ชลบุรี ต่อด้วย 3 มีนาคม 2562 ที่เชียงราย และ 26 พฤษภาคม 2562 ที่สงขลา และ 14 กรกฎาคม 2562 ที่ภูเก็ต และ 15 กันยายน 2562 ที่สัตหีบนั้น ทุกอย่างและทุกคนจะผ่านไปด้วยดีหรือไม่

(จากซ้าย) พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน, พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี, พล.อ.อ.วันชัย นุชเกษม

ขณะที่กองทัพอากาศ บิ๊กต่าย พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. ก็เป็นคนเข้มงวดและละเอียด ทุกครั้งที่เห็นลูกน้องทำผิดพลาด ก็จะเตือนทันที

ยิ่งมีอายุราชการแค่ปีเดียว และมีความอึมครึมรออยู่เบื้องหน้า ในเรื่องการเลือก ผบ.ทอ.คนต่อไป ก็ทำให้ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ยิ่งต้องมาดเข้มมากขึ้น เพื่อดูแลกองทัพให้อยู่ เพราะเต็มไปด้วยความหวังและการแข่งขัน

แม้จะมีบิ๊กนัต พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ เสธ.ทอ. แกนนำเตรียมทหาร 20 ทัพฟ้า เป็นตัวเต็ง ผบ.ทอ.คนใหม่ก็ตาม

แต่ก็ไม่อาจมองข้ามบิ๊กจ้อ พล.อ.ท.ธรินทร์ ปุณศรี รอง เสธ.ทอ. เพื่อน ตท.20 ที่จ่อคิวอยู่ และมีอายุราชการถึงกันยายน 2564 ส่วน พล.อ.อ.มานัตเกษียณกันยายน 2563

แถมทั้ง พล.อ.ท.ธรินทร์ เป็นน้องชายของบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี อดีตบิ๊กทัพฟ้า ที่ก็ยังมีสานสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาอดีต ผบ.ทอ. ในสายของบิ๊กต๋อย พล.อ.อ.ชวลิต พุกผาสุก และบิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์

ด้วยเพราะตอนนี้ การที่เตรียมทหาร 18 ไม่ว่าจะบิ๊กยาว พล.อ.อ.วันชัย นุชเกษม รอง ผบ.ทหารสูงสุด หรือบิ๊กหมู พล.อ.อ.ปรเมศร์ เกษโกวิท รองปลัดกลาโหม จะได้กลับมาเป็น ผบ.ทอ. ในตุลาคมปีหน้านั้น มีโอกาสน้อยลง

แต่ตราบใดที่ยังมีเวลาลุ้น ทุกคนก็ยังมีความหวังได้เสมอ แต่ก็อยู่ในสายตาของ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ทั้งหมด

  เรียกได้ว่า ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ เข้มงวด เด็ดขาดพอๆ กัน แถมขึ้นมาในยุคเดียวกัน….จึงถูกจับตามองว่า ผบ.เหล่าทัพชุดนี้จะกลายเป็นชุดประวัติศาสตร์ที่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศ ในทางใดทางหนึ่งหรือไม่