การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ขอเพียงเสี้ยวความสุขซุกตัวไว้

มีสายลมพัดมาเป่าเส้นผมของฉัน ระเรื่อยไปจนไล้ถึงเส้นผมยาวสยายของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พี่โสมกอดอกพิงเสาใต้เพิงพักห้างนา ขายาวซ่อนในกางเกงยีนส์สีฟ้า ขณะที่ฉันแกว่งเท้าไกวบนแคร่ไม้ไผ่ นั่นคือช่วงพักเที่ยงวัน

แต่วันนี้ คนอื่นๆ เฮโลไปกินข้าวกันที่บ้านป้าอูบ ใต้ร่มมะแฟน

“ไปมั้ย ไม่ไปเหรอ” ก่อนนั้นจอมฝันร้องถาม และย่างเยื้องให้เห็นสะโพกกลมกลึงในผ้าถุงรั้งเต่อ

พี่โสมส่ายหน้า

“ไปเถอะ ขี้เกียจ”

“ป้าเขาจะเลี้ยงน้ำเงี้ยว” จอมฝันบอก “มีส้มตำด้วย”

“ในโอกาสอะไร”

“ถูกหวย” จอมฝันตอบ และคว้าข้อมือพี่โสม “น่า ไปกัน”

“ไม่เอา ไปเถอะ” พี่โสมดึงแขนกลับ “พี่ห่อข้าวมาแล้ว”

“ใครๆ ก็มีข้าวห่อด้วยกันทั้งนั้น” จอมฝันว่า “ชิ ไม่ไปก็อย่าไป แล้วอย่าตามไปทีหลังล่ะ”

พลางทำสะบัดหน้าก่อนผละจาก แต่พอเห็นคนตัวสูงยิ้มขัน และเสี้ยวหน้าสีน้ำผึ้งที่เบือนกลับมานั้น เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นกัน สายตาหยอกเย้าราวรู้เท่าทันอะไรสักอย่าง ฉันก็ทั้งโล่งใจและอดพิศวงในใจไม่ได้

เจ้าหล่อนเป็นคนชนิดไหนกันแน่

จนจอมฝันหายไปจากสายตา เหลือเพียงเราในเพิงพักกลางแปลงเพาะกว้าง หากมองมาจากบ้านป้าอูบ คงเห็นหัวเราเท่าก้านไม้ขีด คนตัวสูงถึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“อยากไปบ้างมั้ย”

ฉันส่ายหน้า

“ไม่”

“ไม่อยากกินขนมเส้นบ้างหรือ น้ำเงี้ยว ใส่ดอกงิ้วนวลๆ”

“เฉยๆ”

“เห็นหวานว่าจะมีหวานเย็นด้วยนี่”

ฉันนึกถึงใบหน้าของหวานขึ้นมา ตั้งแต่คืนวานที่ผ่านมา ฉันยังไม่ได้คุยกับหวานอีก และเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่หวานมาทำงานโดยไม่รอฉัน

ใช่จะไม่รู้สึก…เมื่อเห็นใบหน้าขาวแป้งและพอกครีมกันแดดหนาเตอะ ดวงตาที่เหลือบแลฉัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า หวานต้องการเวลา ฉันก็เช่นกัน

ฉันจึงเลือกทำงานใกล้ๆ คนอื่นตลอดวันนั้น

“หิวหรือยังล่ะ เอาอะไรมากิน” น้ำเสียงเอื้ออ่อนถามขึ้นมาใหม่ พลางผละจากเสาไม้ที่ยืนพิงอยู่ เดินมาหย่อนตัวลงใกล้

กางขาออกกว้าง

“มานั่งนี่มา”

ฉันยังไม่ได้ทำตาม ร่างสูงก็รั้งให้ลุก สุดท้าย ฉันก็นั่งซ้อนในอ้อมแขนคนตัวใหญ่กว่า หันหน้ามองดูภูเขา

 

ในเพิงพักคนงานนั้น ตั้งเสาขึ้นอย่างเรียบง่าย จนกลายเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามุงใบตองตึง มีแคร่ไม้ไผ่ตีไว้สองฟาก เว้นทางเดินตรงกลาง หากเดินเข้าไปถึงด้านในสุด มีส่วนคั่นเป็นเตาไฟเล็กๆ และยกพื้นขึ้นเป็นห้องพักนอน คนอยู่อาศัยชื่ออ้ายไชย ว่ากันว่าเป็นคนไม่ค่อยเต็มบาทเท่าไหร่ แต่ก็พอใช้งานได้ ทำหน้าที่เป็นยามในเวลากลางคืน อยู่เฝ้าสถานที่นี้

ยามกลางวัน อ้ายไชยมักจะได้รับมอบหมายงานให้ออกไปทำเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่ “เผ้วหญ้า” จนถึง “รางเหมือง” ก็คือการกำจัดวัชพืช ถางหญ้า ทำความสะอาดร่องน้ำลำธาร ทำทุกอย่างที่คนงานหญิงมักไม่มีแรงเท่า เพราะพื้นที่ของแปลงเพาะแสนกว้างใหญ่ ส่วนไหนไม่ได้ขึ้นแปลงยกร่อง ไม่ได้พ่นยาฆ่าหญ้า เผลอเดี๋ยวเดียวก็แทบจะย่างเหยียบไม่ได้

หมู่พวกหญ้าพวกหนามทั้งหลาย ลองได้เจอน้ำฝนน้ำค้าง ต่างงอกงามเร็วนัก

แต่วันนี้ เห็นว่าอ้ายไชยไปเวียง มีธุระหาหมอรับยา จะกลับมาคงค่ำๆ

อันที่จริง เป็นความสบายใจไม่น้อย เวลาที่ปราศจากคนอื่นใกล้ตัว เหลือแค่ตัวฉันกับเพื่อนนอน หลายครั้งฉันก็อยากได้ความเงียบสงบอย่างนี้ โดยที่ไม่ต้องคิดอะไร

แต่นั่นเอง ตั้งแต่วันที่หวานออกห้องไป ใจฉันก็หน่วงๆ อยู่ข้างใน ทั้งที่คิดว่ามันจะผ่านไป กลับคล้ายเหมือนมีหมอกควันสุมเพิ่มมาใหม่

เบื่อไหม…เบื่อ แต่จะหนีไปไหน ยิ่งมองดูภูเขาที่ทอดทิวสลับสล้าง แต่ละหยักโค้งมีเฉดสีฟ้าแตกต่าง สวย…แต่ก็ยิ่งทำให้อ้างว้าง คนจะดีหากไม่มีหัวคิดอย่างนกอย่างปลา ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าไม่มีความคิดความรู้สึกเสียอย่าง จะดีกว่าไหม

[บางครั้งฉันก็เบื่อที่จะคิด

ในยามชีวิตไม่เคยมีอะไรใหม่

อยู่อยู่กินกินดิ้นไป

ใต้ท้องฟ้าน่ารำคาญ

โลกจะกว้างได้อีกแค่ไหน

เดินไกลอีกกี่ก้าวจะก้าวผ่าน

ต้องล่องไหลไปอีกกี่ลำธาร

จึงจะได้มีบ้านอย่างอยากมี

แต่บ้านหลังนั้นอยู่ที่ไหน

ฉันแค่รู้ว่าคงไม่ใช่ที่นี่

ทั้งที่แสนรักสิ่งเหล่านี้

ในที่ที่กำลังสูดอากาศเข้าไป

เมื่อไหร่ฉันจึงจะหยุดคิด

เมื่อไหร่จะมีชีวิตใหม่

อะไรดีกว่าระหว่างการรับทุกสิ่งไว้

กับการต้องไม่หายใจอีกแล้ว]

ว่าแต่ฉันชอบมันด้วยจริงๆ ไหม การมีบทกวีล่องไหลอยู่ในหัว กระซิบกระซาบแผ่วริน ให้ฉันได้ยินมันกังวานแต่เพียงผู้เดียว และค่อยๆ ใช้สมาธิกับการคิดคำมาต่อเชื่อมไป

ทีละวรรค ทีละถ้อย ร้อยเรียงเข้าหากันไปเรื่อยๆ มิน่า อย่างนั้นหรือเปล่า เขาถึงเรียกว่าบทร้อยกรองกวี

 

“พี่…” เสียงพี่โสมเรียกดังขึ้นอีก “พี่!”

“คะ” ฉันเกือบสะดุ้ง และสะดุ้งเข้าจริงๆ เมื่อแหงนหน้า พบใบหน้าก้มต่ำมาเกือบชิด

“เป็นอะไร ทำยังกับจะหลับใน”

“…เอ้อ เปล่าค่ะ”

“คิดอะไรอยู่แน่ๆ” คนตัวสูงว่า และฉันก็สำเหนียกได้ว่า มีลมหายใจแผ่วร้อนข้างหู “จะให้พี่ช่วยอะไรมั้ย”

ใบหน้าของหวานผ่านเข้ามา ทว่า ใบหน้าของจอมฝันก็แทรกซ้อนเข้ามาด้วย โลกเราเป็นอย่างนี้หรอกหรือ ทุกคนต่างมีชีวิตของตัวเอง และเราจะเข้าใกล้ใครได้ ก็เท่าที่ใครจะให้เราเข้าหา หลายครั้งพวกเราก็จะเสียน้ำตากับเรื่องขี้หมาเหล่านี้

“…จะดีหรือคะ” นั่นก็เป็นฉันอีก ที่ปล่อยเสียงออกไป

“แน่ะ” คนตัวสูงเสียงเปลี่ยนทันที มีความตื่นตัวขึ้นฉับพลันทันใด “พี่ทำได้นะตอนนี้”

 

ใครว่าเป็นแม่ญ่าแม่ญิงจะไม่มีความกล้า หรือว่าจะมีแต่ความอายในเรื่องใต้ซอกขา ไม่จริงเลย ถ้าเคยมาเป็นฉัน หรือเป็นอย่างพี่โสมคนนี้

อะไรที่ใครว่าไม่ดี อะไรที่คนอื่นอาจจะนึก “จ๊ะ” อยู่ในใจ หล่อนทำมันได้ หล่อนเคยทำมาแล้ว

ฉันสิ ไม่ใช่ทุกครั้งจะมีความรู้สึกง่ายเท่าหล่อน หลายคราวฉันยังต้องพยายามเพื่อจะได้สนุกกับการ “นอน” และเพื่อให้วิธีเหล่านั้น พาฉันพ้นไปเสียจากปัจจุบัน

การมีสิ่งอื่นๆ เข้ามาในหัวสมองและร่างกาย ช่วยโอบอุ้มฉันไปสู่ความมืดมน จนแตกระเบิดเป็นพลุไฟกระจ่าง บางที นั่นแหละเท่าที่ฉันจะพอได้พอเอา และทำให้เราคงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

ฉันจะลองดูนะ

“…กี่โมงแล้วล่ะ…เขาจะเข้างานกันหรือยัง”

“ยังหรอกน่ะ มาก็เห็น…เปลี่ยนไปนั่งฟากโน้นสิ”

นั่นคือการย้ายที่ไปอีกฟากหนึ่ง เปลี่ยนจากฉากภูเขา เราจะมองไกลได้ถึงร่มไม้ใบหนา จะรู้ว่า หากฝูงคนออกมาจากกระท่อมใต้ร่มไม้ จะไหวตัวทัน

และจึงในท่านั่งนั้น ที่ฉันยังอยู่ท่าเดิมอีกครั้ง ให้คนตัวสูงซ้อนอยู่ข้างหลัง ทั้งที่เสื้อผ้ายังสาบเหงื่อบนตัว

หล่อนมีความชำนาญ รู้ว่าต้องใช้การกระทำแบบไหน ไม่นานช้า ฉันจึงจะค่อยๆ ปล่อยใจตามได้ ก็อย่างนี้ ที่ใช้เพียงปลายนิ้วสอดเข้าชายเสื้อ วกอ้อมขึ้นถึงเนินนม ชมเบาๆ ว่า “เป็นไตแล้วแน่ะ” และพูดคำหยาบใส่หูอีกสองสามคำ

มันคือความธรรมดาไม่ใช่หรือ ที่เราจะรู้สึกเช่นนี้ และให้ฉันคอยเอาไปจดบันทึกไว้อีก ก่อนจะซุกสมุดเล่มพิเศษไว้ใต้สะลี

นั่น ลมหายใจของหล่อนก็ร้อนขึ้นอีกเรื่อยๆ อย่างเคย อย่างผ่านมา

 

“วันหลังอย่านุ่งมาอีกนะ กางเกงติดกระดุมแบบนี้” หล่อนทำเสียงสอนสั่ง หากเพียงครู่เดียวเท่านั้น ฉันก็รู้ว่าหล่อนผ่านเข้าไปได้

ไม่สะดวก แต่ไม่ยากเย็นจนเกินไป คงจะมีแต่กลิ่นสาบคราบไคล หากฉันก็รู้ว่าร่างสูงพอใจ

หวานเคยนอนกับใครไหม…คงจะยังไม่ นอกจากพี่ชายของฉันแล้ว พอรู้ว่ามีอีกหลายคนสนใจ แต่หวานคงยังไม่เคยรู้รสชาติเหล่านี้ คนอย่างหวานหรือจะขึ้นสะลีกับใครง่ายๆ

ไม่เหมือนฉัน เพราะอะไร ก็เพราะฉันชอบมัน

ฉันชอบ ที่มันทำให้หัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทุรนทุราย ทำให้สมองฉันว่าง ร่างกายไหวตื่นขึ้นกับความแปลบปลาบซาบซ่าน ยิ่งมากขึ้น มากขึ้น ถึงจุดเกือบจะทรมาน ฉันจะลืมสิ้นทุกสิ่งไป

[กอดฉันได้ไหมเล่า

รัดฉันเข้าในอ้อมแขนให้แน่นหนา

แล้วช่วยปิดเปลือกตา

พาฉันสู่ดินแดนแสนไกล

จูบฉันได้ไหมเล่า

ถึงจะเป็นเงื้อมเงาซ่อนหนามไหน่

ขอเพียงเสี้ยวความสุขซุกตัวไว้

ก่อนจะพบวันใหม่ที่เหมือนเดิม]